วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552


ท่านั่งสบายแต่อันตรายถึงชีวิต


การนั่งไขว่ห้างเป็นท่านั่งที่นิยมนั่งกันมาก เพราะทำให้ผู้นั่งรู้สึกสบายและดูเก๋ ผลการวิจัยของคณะแพทย์ต่างประเทศได้ระบุว่าเป็นท่านั่งที่อันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาทั้งสองจะถูกแรงของขาทั้งสองบีบเอาไว้ ทำให้ไหลเวียนไม่สะดวกและทำให้หัวใจต้องทำงานหนังขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อที่จะลำเลียงเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเพราะหัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติจึงทำให้ผู้นั่งอาจจะรู้สึกวิงเวียนศรีษะหรือหน้ามืดบ่อยครั้งมากขึ้นหลังจากลุกจที่นั่ง หรืออาจมีอาการปวดบวมที่ขาทั้งสอง ทางคณะแพทย์ได้แนะนำว่าควรจะหลีกเลี่ยงจากท่านั่งที่แสนสบายนี้เสียก่อน ที่ชีวิตของท่านจะไปสบายก่อนวัยอันควร

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขอบอกว่าสำคัญมาก หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่า ทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงาน จากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา

(ไม่ใช่ไขมันไขมันยังอยู่เหมือนเดิม)


ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง


ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก
หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที
20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน


นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552


วาซาบิ


ที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทาน อาหารญี่ปุ่น นั้น มีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกัน โรคมะเร็งแล้ผลการวิจัยล่าสุด ค้นพบว่า วาซาบิ สามารถป้องกันฟันผุได้


สารประกอบทางเคมีใน วาซาบิ นอกจากทำให้ วาซาบิ มีรสชาด และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็น ต้นเหตุของฟันผุ


วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด


รู้อย่างนี้แล้ว อย่าได้ร้องยี้แล้วเขี่ย วาซาบิ ทิ้งเด็ดขาด

เคี้ยวถั่วเหลืองหนีโรคหัวใจ


ช่วยลดความดันโลหิตลงได้ ถั่วเหลืองคั่ว เป็นของ ขบเคี้ยวของผู้หญิงวัยทอง


เพราะช่วยให้ความดันโลหิตลดต่ำลงได้เหมือนกับ กินยา


ผู้หญิงญี่ปุ่นรู้คุณมานานแล้ว กินกันอยู่เป็นประจำ


ไม่ค่อยเป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งทรวงอกด้วย...

แอปเปิ้ลมีประโยชน์ในการช่วยดับกลิ่น


นำไปวางไว้ในครัวในห้องรับแขกก็จะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆได้

แล้วเมื่อเวลากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ อย่างเช่น กระเทียมหรือของหมักดอง

ก็ให้รับประทานแอปเปิ้ลตามเข้าไปสักหนึ่งเสี้ยว แค่นี้ กลิ่นเหม็นก็จะหายไป

เพราะแอปเปิ้ล มีสารบางอย่างที่สามารถเข้าไปทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปาก

รวมถึงแอปเปิ้ลที่เข้าไปอยู่ในกระเพาะจะช่วยทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย


รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมทานแอปเปิ้ลหลังอาหาร จะได้ไม่มีกลิ่น.

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมากฝรั่ง ก็มีประโยชน์



หมากฝรั่ง ช่วยลดอาการเสียดท้อง

ถ้าเคี้ยวหมากฝรั่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จะช่วยลดกรดไหลย้อนกลับได้

หมากฝรั่งช่วยให้สุขภาพฟันดูสดใส แต่จะต้องเป็นแบบซูการ์ฟรีเท่านั้น !

การเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ จะช่วยลดอาการฟันผุได้

เพราะหมากฝรั่งช่วยลดกรดในช่องปาก และความเหนียวของหมากฝรั่ง จะช่วยทำให้ฟันสะอาดดีด้วย เพราะหมากฝรั่งจะช่วยเข้าไปทำให้อาหารหลุดออกมาได้.
ทิชชูกับมะเร็งปากมดลูก



มะเร็งปากมดลูกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย


ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นเชื้อราเล็กๆ อยู่จึงไม่กังวลมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงคือทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจที่เมื่อใช้เป็นเวลานานติดต่อกันจะทำให้เกิดในช่องคลอดได้


หมอแนะนำว่าหลังจากเสร็จกิจใน ห้องน้ำ ให้ใช้ทิชชูซับแทนการเช็ด และต้องซับครั้งเดียว ไม่เกิน 10 วินาทีเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราได้ 50 % ด้วย
ทำไมเราถึงหาว รู้ไหม?


อาการหาว น้ำตาไหล น้ำมูกไหล เกิดจากปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกาย อาจมาจากการที่สมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ หรืออาจได้รับก๊าซคาร์บอนมอนน๊อกไซต์มากเกินไป

แต่หากไม่อยากหาวบ่อย ๆ ก็ลองพยายามหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เคร่งเครียด หลีกเลี่ยงจากมลพิษ และอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก รับรองอาการหาวของคุณจะค่อย ๆ ลดลง

แต่หากลองแล้วยังไม่ได้ผล ยังหาวอยู่เรื่อย ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 30 ครั้งล่ะก็ แนะนำให้ไปพบแพทย์ตรวจร่างกายดีกว่า เพราะการหาวบ่อย ๆ แบบนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับลักษณะการนอนและระบบทางเดินหายใจเข้าแล้ว


พลังบำบัดจากน้ำมะพร้าว

เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง


เพราะ นอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น


มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้นและผลต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก


น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง


สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง


มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้ น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม


อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว


หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง (แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม) ควรกินให้หมดทีเดียว


ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่ม น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปัญหาผมหงอกก่อนวัยนั้น ปัจจัยหลักมักเกิดจากความเครียด รองลงมาก็เรื่องพันธุกรรม ซึ่งผมหงอกก่อนวัยมักพบมากขึ้นในวัยรุ่นยุคปัจจุบัน อาจเป็นจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ความเครียด ฯลฯ แต่โดยสรุปแล้วก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง




สาเหตุของอาการผมหงอกก่อนวัยนั้นมีได้หลายสาเหตุ

โดยอาจเกิดจากการขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น การขาดแร่ธาตุทองแดง หรือจากยาบางตัว ที่มีผลต่อการสร้างเม็ดสีผม เช่น ยารักษามาลาเรีย Chloroquine และมีโรคหลายโรคที่มีผมหงอกร่วมด้วย เช่น โรคโลหิตจาง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ อารมณ์เครียดมาก หรือ หวาดกลัวเฉียบพลัน ฯลฯ

ภาวะผมหงอกก่อนวัยจะไม่มีผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม ยกเว้นจะมีโรคประจำตัวอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะที่มีฮอร์โมน DHT สูง หรือ โรคซิฟิลิส

ส่วนวิธีแก้ปัญหาผมหงอกก่อนวันนั้น ทางการแพทย์ยังไม่มีทางป้องกันให้อัตราการเกิดผมหงอกลดลงและไม่มีทางรักษาให้หายได้ แนวทางแก้ไ มีอยู่ทางเดียวก็คือการเปลี่ยนสีผม หรือการย้อมผม ซึ่งบางคนก็จะปล่อยให้ผมขาวเป็นธรรมชาติไปเลย
ประเทศที่ขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์

1. การเมืองของประเทศนี้ วนเวียนอยู่กับการใส่ร้ายป้ายสีด่าทอกัน นักการเมืองประเทศนี้จึงมีฝีปากกล้า ปัญญาด้อย เพราะมัวเสียเวลา ไปขุดคุ้ยหาเรื่องด่า จนไม่ค่อยมีเวลาคิดสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมือง

2. ละครประเทศนี้ ทุก ๆ สิบปี จะต้องมีบ้านทรายทอง ดาวพระศุกร์ และสลักจิต วนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกคนละครั้งสองครั้งเสมอ ไม่เชื่อไปถามนางสาวทองสร้อยดูได้

3. แฟชั่นของประเทศนี้ เน้นที่ยี่อห้อที่กำลังได้รับความนิยมในสังคมชั้นสูง สังเกตง่าย คนในประเทศนี้ เวลาออกไปไหนจะแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้ายี่ห้อเดียวกันทั้งกลุ่ม

4. วงการเพลงของประเทศนี้ มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ในการลอกเลียนทำนองเพลงของประเทศอื่น ๆ จนปัจจุบัน ได้ลามไปถึงการ ลอกมิวสิควีดีโอ ลอกเครื่องแต่งกาย ทรงผม ท่าเต้น ปกเทป ฯลฯ

5. การแจกรางวัลในประเทศนี้ ทั้งรางวัลของวงการบันเทิง หรือโฆษณาจะนิยมแจกกันงานละไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โหล ทั้ง ๆ ที่มีผู้คิดสร้างสรรค์ อะไรใหม่ ๆ ขึ้นจริง ๆ ไม่ถึง 4 - 5 ราย

6. ในวงการโฆษณาที่ว่าเป็นแหล่งรวมนักคิดชั้นนำของประเทศนี้ ยังคงใช้วิธีเปิดหนังสือ และวีดีโอหนังโฆษณาของประเทศอื่น ๆ เพื่อก็อปปี้ เลียนแบบในประเทศนี้

7. นักศึกษาหญิงในคณะที่คะแนนสอบสูง ๆ ของประเทศนี้มีค่านิยมอยากทำงานเสิร์ฟบริการคนประเทศอื่นบนเครื่องบินมากกว่าอยากทำงาน ที่ได้ใช้สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์

8. เชียร์ลีดเดอร์ของประเทศนี้ ยังคงภูมิอกภูมิใจกับท่าเต้นเดิม ๆ โดยเฉพาะเชียร์ลีดเดร์ของสองมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศ ป้าคนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์รุ่นหนึ่งหลังสงครามโลก ก็ยังสามารถเต้นเข้าจังหวะกับทีมเชียร์ลีดเดอร์น้องใหม่รุ่นปัจจุบันได้ สันนิษฐานว่า คงมีคำสาปมาจากคุณป้ารุ่นแรกว่า ถ้าใครคิดสร้างสรรค์ท่าอะไรขึ้นมาใหม่ ๆ มันผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป

9. ชื่อของประเทศนี้ ได้รับการตีพิมพ์บ่อยครั้งในกินเนสส์บุ๊คว่าเป็นเจ้าของสถิติที่สุดในโลกในด้านที่ไม่สร้างสรรค์อยู่มากมาย เช่น ไข่เจียวยักษ์ ธูปยักษ์ และล่าสุดจานบินทรงเจดีย์ยักษ์
ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว




ประชาชนมีโอกาสเสี่ยงจากความหนาวเย็น โดยเฉพาะหากพื้นที่ที่กำลังมีน้ำท่วมขังขณะนี้ ต้องเพิ่มความระมัดระวังดูแลสุขภาพเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากมีสภาพความเปียกชื้นสูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์สถานการณ์โรคของสำนักระบาดวิทยา พบว่า โรคในฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อในกลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สุกใส ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม


ตั้งแต่ต้นปี 2549 จนถึงขณะนี้ พบผู้ป่วยจาก 6 โรคดังกล่าวแล้ว 162,589 ราย เสียชีวิต 541 ราย ประกอบด้วย โรคหัด 2,464 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โรคสุกใส 40,112 ราย เสียชีวิต 3 ราย โรคคางทูม 5,536 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โรคปอดบวม 101,693 ราย เสียชีวิต 536 ราย และโรคไข้หวัดใหญ่ 12,780 ราย เสียชีวิต 2 ราย ได้ให้กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังในพื้นที่น้ำท่วมขังเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหากมีผู้ป่วยอาจจะแพร่ติดกันได้ง่าย เพราะประชาชนส่วนใหญ่มักอยู่รวมกันในบ้านเรือน


ประชาชนควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงและสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายอยู่เสมอ ทั้งนี้ โรคปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ นั้น จะต้องมีการเฝ้าระวังและดูแลเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเป็นโรคที่มีอาการสำคัญของโรคที่คล้าย และใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดนก และอากาศหนาว ที่เริ่มเข้ามาก็เป็นปัจจัยเสริมด้านสิ่งแวดล้อม อาจทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดนกแพร่ระบาดได้

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552




วัน ลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทยส่วนใหญ่ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือเดือนยี่ (เดือนที่ 2) ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณี ลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไปในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลง ไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552




จากผลวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกปลูกฝังการอ่านจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด จะมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ทั้งสติปัญญา ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม


หนังสือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของความรู้มหาศาล และการที่เราได้อ่านหนังสือดีๆ สักหนึ่งเล่ม จะทำให้ไฟในการอ่านในตัว ถูกจุดขึ้นมา ดังนั้นรีบลองค้นหาหนังสือดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ เสีย เพราะยังมีหนังสือดีๆ เล่มต่อๆ ไป รอให้เราเปิดอ่านอยู่ รัฐบาลได้ประกาศเรื่อง การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้เริ่มในวันหนังสือเด็กแห่งชาติ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา และเริ่มโครงการเสริมการอ่าน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดหนังสือดีราคาถูก ถึงมือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง

1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?

แต่อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยเฉลี่ยกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยมีอัตราการอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อคนต่อปี อัตราการซื้อหนังสือ 2 เล่มต่อคนต่อปี

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงค์โปร์และเวียดนาม มีอัตราการอ่านเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อคนต่อปี อีกทั้งหนังสือที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านคือตำราเรียน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความจำเป็นอีกด้วย อัตราที่น้อยนิดนี้ ยังมีแนวโน้มลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้นด้วย

เป็นอัตราส่วนที่น่าใจหายแวบทีเดียว เพราะการอ่านเปรียบเหมือนการเพิ่มพูนความรู้ของเราให้ก้าวหน้า กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังปลูกฝังนิสัยดีๆ ต่างๆ เช่น รู้จักการยอมรับ ส่งเสริมจินตนาการ รักการอ่าน มีสมาธิ ฯลฯ

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำดีต่อตนเอง >> เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น

1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่

2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน

3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง

4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใคร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน

5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง

6. อ่านหนังสือดีๆอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ

8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด

9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม

10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใด ก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552




อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย


ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเองมองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้


1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่นถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น


2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ


3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบและไหม้ของผิวหนัง


ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด


มะกอก... จัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆ สีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอกลำต้นจะสูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม


มีหลากหลายพันธุ์ตัวผลมีรสขมและฝาด เมื่อแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ มะกอกเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม การสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลที่แก่จัด จึงจะได้น้ำมันมะกอกที่มีประสิทธิภาพ


น้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด


กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรนให้หมดไปได้

เพราะ...โรคร้ายที่เกิดขึ้นกับปอด ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง วัณโรค โรคร้ายเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อการหายใจ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไอ หายใจลำบาก
คุณแอนโธนี่ วี ชาวสิงคโปร์ได้คิดค้นวิธีการหายใจโดยประยุกต์หลายศาสตร์เข้าด้วยกัน กลายเป็น ‘ชี่ไดนามิกส์' เทคนิควิธีการหายใจ กำหนดจิตสร้างสมาธิ ช่วยปรับการหายใจให้หายใจได้เต็มปอด สามารถนำก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้ดี


ก่อนฝึกหายใจแบบชี่ไดนามิกส์ ให้หาที่นอนในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก นอนหงายให้เท้าอยู่ในระดับสูงกว่าศีรษะ เพื่อให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก


จากนั้นหายใจออกช้า ๆ จนรู้สึกว่าลมหายใจออกหมด แล้วจึงเกร็งตัวพร้อมยำตัวขึ้นและขมิบก้นเล็กน้อยเพื่อไล่ลมออกเพิ่มเติม ต่อเนื่องด้วยการกลั้นหายใจเพียง 4 วินาที ครบแล้วให้หายใจเข้าช้า ๆ จนเต็มปอด กลั้นหายใจไว้ 4 วินาที และหายใจออก ทำในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ราว 30 นาที - 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดแข็งแรง และขยายตัวได้เต็มที่ อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง.

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552


ใช้สบู่เหลว อันตราย!


สบู่เหลวที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ เป็นแค่สารซักฟอกที่ใช้ในการผลิตน้ำยาล้างจาน ทำความสะอาดพื้น แถมถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีนจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด!!!


เดี๋ยวนี้สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆ จะ ต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่น แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว


"ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจน ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลวคงจะไม่เกิดขึ้นฉับ พลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ (คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย"


หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด




จริงหรอ...

1.ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2.ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3.ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4.ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5.มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6.พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7.เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย
จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8.เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

9.นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10.ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552


อยากสูงและฉลาดต้องนอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแต่สำหรับเด็ก ๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้มากกว่าผู้ใหญ่
โดยเด็กประถมต้น (อายุ 6-8 ขวบ) ควรนอน 11 ชั่วโมง เด็กประถมปลาย (อายุ 9-11 ขวบ) ควรนอน 10 ชั่วโมง เด็กมัธยมต้น (อายุ 12- 14 ปี) ควรนอน 9.25 ชั่วโมง เด็กมัธยมปลาย รวมทั้ง ปวช. (อายุ 15-17 ปี) ควรนอน 8 ชั่วโมง
การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของเด็ก ๆ เติบโตสูงขึ้น เพราะในเวลาที่เด็ก ๆ นอนหลับสนิท ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ growth hormone ออกมา ถ้าเด็กนอนไม่พอ growth hormone จะถูกหลั่งออกมาน้อยกว่าปกติ
ส่งผลให้ตัวเตี้ย ไม่สูงเท่าที่ควรนอกจากนี้การนอนไม่พอยังส่งผลให้การเรียนตกต่ำ เนื่องจากความง่วงนอนทำให้การรับรู้ ความเข้าใจ สมาธิ การเรียนรู้สิ่งใหม่ การแก้ปัญหา และความจำลดน้อยลง การนอนไม่พอยังทำให้เด็ก ๆ มีอารมณ์รุนแรง มีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด ภูมิต้านทานต่ำ และเจ็บป่วยง่าย
กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้รับผิดชอบและผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับและหาวิธีแก้ไข ซึ่งการแก้ไขทำได้ไม่ยาก
เริ่มที่ให้ความรู้ ให้เด็กไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนให้เพียงพอ การนอนหลับมีความสำคัญเท่ากับอาหารและการออกกำลังกาย
เห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอแล้ว มีการศึกษาพบว่าการงีบหลับเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้เด็กฉลาดขึ้น ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการรณรงค์ให้เด็กญี่ปุ่นงีบหลับเวลากลางวัน เพื่อความได้เปรียบทางสติปัญญามากว่า 3 ปีแล้ว และในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้บรรจุวิชาการนอนหลับในชั่วโมงการเรียนการสอนของเด็กในระดับมัธยมตอนปลายมา 2 ปีแล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่เด็กไทยจะได้มีระดับสติปัญญาและความสูงได้มาตรฐานทัดเทียมกับเด็กในนานาประเทศ ???.
4 ปีในมหา’ลัย..ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้ม?

ว่ากันว่าช่วงชีวิตแห่งการเป็นนักศึกษานั้น เป็นช่วงที่ความคิดจะถูกผูกติดให้เชื่อมโยงอยู่กับความฝัน ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่หลายคนมักจะเลือกใช้เวลาระหว่างวัยเรียน ตักตวงหาประสบการณ์ต่างๆ ก่อนออกไปใช้ชีวิตจริงในสังคม และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเสียดายโอกาสที่มีค่ากันภายหลัง เพราะเงื่อนไขแห่งกาลเวลาที่ถูกตั้งกฎไว้ว่า “ไม่สามารถย้อนกลับมาได้” สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย(บางคนอาจมากกว่านั้น) เราจะใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างไรให้คุ้มค่า? ลองฟังทัศนะกันดู

เริ่มต้นที่คนแรก กับหนุ่มนักกิจกรรมที่คอนเฟิร์มว่าเขาใช้ชีวิตนักศึกษาแบบสุดคุ้ม กับตำแหน่ง นายกสโมสรนักศึกษา 2 ปีซ้อน นักกีฬามหาวิทยาลัย ทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนอย่าง “ย้ง-กิตติโรจน์ อัศวอารีย์” นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่เห็นว่าการใช้ชีวิตนักศึกษาให้คุ้มแนวทางหนึ่ง คือ ต้องทำกิจกรรม ซึ่งนอกจากการเป็นนักกิจกรรมที่ย้งทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้อง กิจกรรมค่าย การดูแลชมรม ให้อยู่ในกรอบและระเบียบต่างๆ แล้ว ย้งยังแบ่งเวลาสำหรับซ้อมกีฬา และวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงานเป็นครูสอนพิเศษไปด้วย

“การทำกิจกรรมแม้บางครั้งจะเหนื่อย แต่ก็เต็มไปด้วยสีสัน เพราะได้ประสานงานทั้งนักศึกษา อาจารย์ รวมถึงผู้บริหาร ทำแล้วผมมีความสุข และได้ประโยชน์กับตัวเองด้วย เช่น การเข้าหาผู้ใหญ่ การปรับตัว การฝึกความอดทน และที่สำคัญสุด ตรงนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรา และยังสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลายไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ด้วย”ย้งขยายความ

ย้ง และย้ำด้วยว่า การทำกิจกรรมช่วยให้เขาได้พัฒนาตัวเองหลากหลายด้าน เพราะเขาเองก็ได้เรียนรู้วิธีการทำงานจากผู้อื่นด้วย แต่ที่สำคัญการทำกิจกรรมจะต้องไม่ไปเบียดเบียนเวลาเรียนจนทำให้ต้องเสียการเรียน

ขณะที่ “ออย-ธารทิพย์ พ่อค้า” บัณฑิตหมาดๆ จากคณะแพทยศาสตร์ รั้วแม่โดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเหมือนคนอื่น แต่ก็ใช้เวลาเรียนอย่างจริงจัง และทุ่มเทถึง 6 ปีในการสั่งสมความรู้ ออย เล่าถึงการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่าของตนเองว่า เที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่ก็เรียนอย่างหนัก และยึดหลักการแบ่งเวลา “จริงๆ อยากเรียนนิเทศศาสตร์มากๆ เพราะเข้ากับตัวเองมากกว่าการเรียนหมอที่ดูเครียด แต่แม่อยากให้เรียนหมอ สุดท้ายเราตัดสินใจเชื่อแม่ จากนั้นจึงคิดว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเรื่องเรียนเป็นหน้าที่ของเรา อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีทั้งเรียนทฤษฎีและฝึกงาน ซึ่งจากเดิมช่วงเรียนทฤษฎีหนักๆ เราก็ยังเฉยๆ กับการเรียน แต่พอช่วงฝึกงานได้ฝึกอยู่แผนกสูตินารีเวช ได้ทำงานกับเด็ก ก็รู้สึกชอบและตักตวงความรู้ได้มากกว่าเดิม ”

ถึงวันนี้ “ออย” ปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลในถิ่นบ้านเกิดที่ จ.อ่างทอง โดยออยแนะถึงเทคนิคง่ายๆ ในการเรียนว่า ต้องพยายามตักตวงความรู้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองคร่ำเคร่งกกับารเรียนมากเกินไป

“สำหรับออย หากวันไหนขี้เกียจก็พักผ่อน เที่ยวเล่นปกติ แต่ต้องแยกแยะหากวันไหนเรียนก็จะจริงจัง และตั้งใจเรียน”

ขณะ “แนน-วิณุรา มหามิตร” บัณฑิตจากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า จะต้องไม่เสียดายภายหลังที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นๆ เพราะขณะที่เรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน เช่น การออกค่าย หรือกิจกรรมอื่นๆ

“ช่วงเรียนปริญญาตรี แนนทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย จึงไม่ได้ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย หรือของคณะ ประกอบกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ชั้นเรียนที่เรียนไม่ได้เรียนกันแค่ห้องเดียว แต่เป็นการเรียนรวมทำให้มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่อนข้างน้อย เราจึงสนิทกับเพื่อนช่วงมัธยมมากกว่า ทำให้เสียดายประสบการณ์ที่เราควรจะมีในช่วงวัยเรียน”

อย่างไรก็ตาม แนนตั้งใจว่าจะแก้ตัวในช่วงที่เธอศึกษาปริญญาโท คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ว่าจะไม่สนุก และมีสีสันเท่าชีวิตในช่วงปริญญาตรีก็ตาม
เอาล่ะทุกคนชาวรั้วมหาวิทยาลัยได้ฟังอย่างนี้แล้ว อย่างไรก็ดี ไลฟ์ ออน แคมปัสขอแนะเลยแล้วกันว่า อย่าลังเลที่จะใช้ชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ฝันไหนที่ยังไม่ได้ตามหาอย่ามัวแต่ลังเล รีบปรี่เข้าไปทำตามฝัน จะได้ไม่ต้องมานั่ง “เสียดาย”ในภายหลังเหมือนหลายๆคน... แล้วจะหาว่าแคมปัสไม่เตือน และสำหรับใครที่มีประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยที่สุดแสนประทับใจ และทรงคุณค่า อยากนำความทรงจำดีๆ มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ต่างมหาวิทยาลัย ส่งเรื่องราวมาได้ที่



ในการทำงานนั้น หนึ่งในความเครียดที่ทุกคนต้องเผชิญเป็นประจำคือ การทีงานมากกว่าเวลาที่มี หรือว่า ความรู้สึกที่ว่าเวลาน้อยจนไป เวลาก็เหมือนกับทรัพยากรอื่นที่มีจำนวนจำกัด จึงต้องใช้ไห้อย่างคุ้มค่าที่สุด เมื่อเรามำงานได้ทันตามเวลาที่กำหนด แน่นอนครับความเครียดก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งผลสุดท้ายที่ได้คือสุขภาพกายและใจ ที่จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคุณเป็นคนนึงที่รู้สึกว่าเวลาทำงานน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับงานที่ได้รับมอบหมาย ทรือแค่อยากจะใช้เวลาทำงานที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากขึ้น คุณไม่ได้คิดแค่คนเดียวหรอกครับ มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่คิดอย่างนี้ครับ เราทุกคนต้องการที่ทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่เท่าเดิม เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน การบริหารเวลานั้น ที่จริงแล้วคือการที่คุณบริหารตัวคุณเองนั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องของการสร้าง commitment การจัดการ และการมุ่งสู่เป้าหมาย และใช้เวลาให้คุ้มค่าอย่างที่สุดและนี่คือคำแนะนำนะครับ ที่จะช่วยให้คุณ activeมากขึ้น และมีความคิดที่ proactive เกี่ยวกับการใช้เวลา



1- จัดทำรายการ to-do list เริ่มต้นด้วยการ เขียนรายการสิ่วที่ต้องทำ (to-do list) หรือรายการสิ่งที่ควรจะทำเอาไว้ แล้วพยายามทำให้เป็นนิสัยนะครับ อันนี้รวมถึง การแบ่งแยกรายการ่างๆ ออกเป็นงานแบบเร่งด่วน กับงานธรรมดาที่ไม่ด่วนมาก เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีทางพลาดรายการอะไรที่จำเป็นสำหรับคุณไปเลย และไม่ว่าคุณจะไปไหน ให้พกติดตัวไปด้วยนะครับ คุณอาจจะลงบันทึกไปใน palm หรือว่า pocket pc หรือว่า agenda เล่มโปรด ก้แล้วแต่ความถนัดนะครับ ประเด็นคือ ให้ update ให้บ่อย และพยายามทำตามที่จดไว้นะครับ นอกจากนี้ ถ้าคุณมีโครงการ หรือว่างานอะไรก็ตามที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร ให้แบ่ง ยroject นั้น ออกเป็นงานย่อยๆ ที่คุณสามารถแบ่งเวลามาทำได้ ถึงแม้ว่าคุณจะมีเวลาว่างเพียงช่วงสั้นๆ


2- แบ่งเวลา เริ่มต้นตั้งแต่ การประมาณการเวลาที่คุณจะใช้ในแต่ละงาน ให้ออกมาเป็นตัวเลขกลมๆ เลยนะครับ อาจจะเป็น 10 นาที หรือ 3 ชั่วโมง และสรุปด้วยวันที่ที่คุณคาดว่า งานนั้นจะต้องเสร็จ โดยเฉพาะงานที่ไม่มีลำดับงาน ก่อนหน้า หรือว่าต้องรอทำงานต่อจากนี้ คุณสามารถที่จะใช้เวลาว่างๆ ในช่วงที่คุณไม่คาดคิดทาก่อน ยกตัวอย่างนะครับ คุณสามารถใช้เวลาว่างระหว่างคอยการประชุม นั่งค้นหาข้อมูลจาก internet


3- กำหนดวัน deadline ในแต่ละงาน และพยายามทำให้ได้ การกำหนด deadlines ในแต่ละงานนั้น ให้กำหนดตามที่คิดว่าเป็นไปได้นะครับ และความจำเป็นของงานนั้นๆ ไม่ได้ง่าย หรือว่ายากจนเกินไป และจะต้องพยายามทำให้ได้นะครับ ไม่ใช่ ตั้งไว้เฉยแล้วไม่ทำตาม คุณเคยสังเกตุไม๊ครับว่า คุณทำงานได้เร็วมากแค่ไหน ไม่ว่าการอ่าน หรือว่าทำงานเอกสาร การมอบหมายงาน หรือการตัดสินใจในเรื่องๆใดๆก็ตาม คุณมักจะทำได้เร็วกว่าปกติเสมอ ถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดลาพักร้อน และคุณต้องจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่คุณจะหยุดไป ก็เหมือนกับงานทั่วไปแหละครับ ไม่ว่าคุณมีเวลานานมากแค่ไหน 3 เดือน หรือ 3 วัน คุณก็จะใช้เวลาสั้นๆ ก่อนที่จะครบกำหนดมาจัดการงานนั้นๆ และเชื่อไม๊ครับ มันก็เสร็จทันเวลาทุกครั้งไป แต่ช่วงที่คุณกำลังปั่นงานนั่นแหละครับ เป็นช่วงที่คุณมีความเครียดค่อนข้างมาก สิ่งที่เราจะบอกคือ เมื่อมีกำหนดวันเสร็จของงาน คุณก็จมีความครียดมากขึ้น แต่นั้นก็ทำให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน หลีกเลี่ยงการเสียเวลา


4- ใช้เวลาอย่างฉลาด เลือกที่จะ check mail ให้เป็นเวลานะครับ แล้วให้ voice mail รับสายแทน ถ้าคุณอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่อยากให้ใครมากวน และอยากให้งานนั้นเสร็จโดยเร็วที่สุด ในเวลา 1 -2 ชั่วโมง และถ้าเป็นไปได้นะครับ ไม่ควรที่จะหยิบเอกสาร หรือว่า email มาอ่านซ้ำโดยไม่จำเป็น ดังนั้น อย่าเปิดเอกสาร หรือ check mail จนกว่าคุณจะแน่ใจว่า คุณมีเวลามากพอที่จะอ่าน และจัดการกับมัน ไม่ว่าจะเป็น การตอบ forward ไปให้คนที่เหมาะสม จัดเก็บเข้า หรือว่าสมควรที่จะลบทิ้ง


5- ทำทุกอย่างให้เป็นระเบียบ จัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย จัดเก็บงานเอกสาร ทั้งที่เป็น hard copy และ soft copy ที่อยู่ในเครื่องคุณ ให้มีความเป็นระเบียบ และง่ายต่อการค้นหา ทั้งนี้รวมถึง e-mail ด้วยนะครับ คนเราใช้เวลาค่อนข้างมาก ในการที่จะจัดหาเอกสารหรือว่าข้อมูล ที่เรารู้ว่าเรามี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็คงเหมือนที่ Benjamin Franklin พูดเอาไว้นะครับว่า: "A place for everything, everything in its place." (ผมขอไม่แปลนะครับ)


6- Stay o?n task ให้เตรียมกล่อง หรือว่าถาดสำหรับใส่เอกสาร ไว้ที่โต๊ะนะครับ แล้วติดไว้ด้วยคำว่า กล่องรับเอกสาร ให้เอกสารทุกอย่างที่ใครๆก็ตามอยากส่งถึงคุณ ให้ใส่ลงมาในนี้ให้หมด ดังนั้นเอกสารทุกอย่างจะไม่กระจัดกระจาย และคุณสามารถนำมาจัดการได้ทันทีที่มีเวลาว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อมีใครมาตามงาน คุณจะได้รู้ทันทีว่า งานนั้นถึงไหนแล้ว อ่านหรือยัง และถ้ายังคุณจะได้รู้ว่าอยู่ในกล่องนั้น โดยที่ไม่ต้องไปเสียเวลารื้อโต๊ะ นั่นจะมีเวลาให้คุณทำงานของคุณเพิ่มมากขึ้น



7- เลี่ยงการถูกรบกวน ปิดประตูห้องทำงานบ้างนะครับ ถ้าคุณเป็นพวกที่ทำงานอยู่ในห้อง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเปิดห้องตลอดเวลา แม้ในขณะที่คุณกำลังทำงานเร่งด่วน เพราะถ้าคุณทำงานด่วน ที่สำคัญอยู่นั้น การได้รับการรบกวนขณะที่ทำงาน คุณจำทำงานได้ช้าลง และคุณก็ไม่มีสมาธิ ที่จะฟังปัญหาของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ดังนั้น ถ้ามีเพื่อนร่วมงานเดินมาหาคุณที่โต๊ะ ในขณะที่คุณกำลังยุ่งอยู่แล้วละก็ ให้ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วอธิบายให้อีกฝ่ายทราบว่าคุณกำลังยุ่งอยู่ และขอให้นัดหมายเวลาพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ให้คุณทำงานที่คุณทำอยู่ให้เสร็จเสียก่อน และการลุกขึ้นยืนพูดในทางจิตวิทยา เป็นการยืนยันถึงคำพูดคุณว่าคุณหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เรียนรู้และทำงานแบบ teamwork


8- ร่วมมือ และช่วยเหลือกัน เพื่อนร่วมงานของคุณ คาดหวังว่างานของคุณจะเสร็จตามกำหนดเวลา เหมือนกับที่คุณคาดหวังจากพวกเค้าเช่นกัน ดังนั้นพยายามให้แน่ใจว่างานของคุณจะทันเวลา นะครับ แต่เพื่อเป็นการปลอดภัยไว้ก่อน พยายามเผื่อเวลาเอาไว้บ้างในแต่ละงาน สำหรับปัญหา หรือว่า สิ่งเราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการสื่อสาร หรือการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลา สมมติถ้าคุณมีงานที่จะต้อง present ในวันที่ 25 พยายามทำให้เสร็จ หรือว่ากำหนด deadline ให้กับตัวเองในวันที่ 23 เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดที่อาจจะมีปัญหากับการทำงานของคุณ


9- เลี่ยงการติดตามงานที่ไม่จำเป็น ถ้าคุณได้มีการ มอบหมายงานหรือว่าหน้าที่ ไปให้กับคนอื่นๆแล้ว ก็ไว้ใจกับที่ได้รับมอบหมายไปเถอะครับ นอกจากคุณจะได้รับมอบหมายเป็นพิเศษให้ติดตามงานนั้น ทั้งนี้ในทางปฏิบัติแล้ว คนเป็จำนวนมาก เสียเวลาไปกับการฟัง หรือว่าอ่านรายงาน ทั้งๆที่งานนั้นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ถ้าเพื่อนร่วมงานของคุณ ทำงานวิจัยหรือว่าหรือว่างานอะไรก็เถอะครับ ถ้างานนั้นไม่มีผลกระทบต่อการทำงานในทุกๆวันแล้วละก็ คุณควรจะแสดงความสนใจในงานนั้น ด้วยการใช้คำพูดให้กำลังใจ หรืออาจจะพูดคุยวักถามช่วง coffe break หรือว่าช่วงเวลาอาหารกลางวัน แค่นั้นก็น่าจะพอครับ


10- เลือกประชุม พิจารณาถึงการประชุม ทุกทุกเรื่องที่คุณต้องเข้าประชุมอย่างรอบคอบ ในแง่ว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีคุณ แน่นอนครับ ถ้าคิดว่าจำเป็น ก็ให้ลงไว้ใน agenda ของคุณ แล้วเตรียมตัวให้พร้อม แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องมีส่วนร่วม ลองเข้าไปคุยกับนายของคุณเป็นการส่วนตัว ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะไม่เข้าประชุมนั้นๆ เพื่อหันไปทำงงานอื่น ที่จะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่า


11- คิดใหม่ การที่คุณมีโครงการ หรือว่างานใหม่อยู่ในมือ หรือว่าดูแลอยู่เสมอ อย่างน้อย 1 งานนั้น จะช่วยทำให้ทักษะของคุณก้าวหน้า หรือว่าแหลมคมอยู่เสมอ และถ้าคุณทำได้ อาจจะมากกว่านั้น คือ 2-3 โครงการก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะนั่นจะทำให้ สมองได้ คิดอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง ลำดับความคิด หรือว่า logic ในการคิดต่างๆก็จะเปลี่ยนตามไป ตาม ธรรมชาติของงานแต่ละชิ้น นั้นหมายถึงว่าสมองคุณจะได้ใช้ทักษะมากขึ้น ในแง่มุมที่ต่างกัน และได้ทำงานได้อย่างเต็มที่


12- เลือกงานอย่างระมัดระวัง พยายามที่จะเลือก และทำงาน ที่คุณคิดว่ามีคุณค่าต่อองค์กรที่คุณทำงานอยู่ และต้องเป็นงานที่คุณจะใช้ความสามารถที่คุณมีได้อย่างเต็มที่ บางทีหรือว่าบางครั้งมันก็เป็นการดีเหมือนกันนะครับ ที่คุณจะปฏิเสธ หรือว่าไม่ยอมรับข้อเสนอ ที่คุณจะได้รับงานมอบหมายให้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม จากงานปกติที่คุณทำอยู่แล้ว-- นักธุรกิจ ที่ขึ้นว่าประสบ ความสำเร็จนั้น ทุกคนรู้ว่าบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องพูดคำว่า "ไม่" ก่อนอื่น ให้เริ่มต้นด้วยการถามตัวเองนะครับว่า "งานนี้จะมีส่วนช่วยให้ คุณก้าวหน้าในอาชีพการงานหรือเปล่า " และ "และคุณมีเวลามากพอที่จะทำงานที่ ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จตามกำหนดเวลา หรือไม่"


13- หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะ ผลัดหรือว่าเลื่อนงานที่ตัวเองไม่ชอบออกไปเรื่อยๆ เริ่มต้นการแก้ด้วยการจัดรายการงานที่น่าสนใจ ที่คุณชอบ ให้เป็นรายการต่อไปถัดจากรายการที่แสนจะน่าเบื่อ หรือถ้าคุณเป็นพวกที่เกลียดงานเกี่ยวกับตัวเลข หรือว่างานบัญชี ลองจัดให้งานพวกนี้อยู่เป็นรายการแรกๆของวันที่คุณต้องทำ ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาเช้า เป็นช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานอย่างเหลือเฟือ และมีโอกาสที่จะถูกกวนขณะทำงานน้อย ถ้าคุณยังมีนิสัยที่จะเลือนงานออกไปเรื่อย จนถึงวันที่กำหนดไปแล้ว อยู่เป็นประจำ ถึงเวลาแล้วละครับ ที่คุณควรที่จะใช้เวลามานั่งพิจารณาถึงตัวคุณกับงานที่ทำอยู่ มองถึงเป้าหมายในการทำงาน ความสนใจส่วนตัว เพราะว่าจริงๆแล้ว นิสัยการผลัดวันประกันพรุ่งนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความที่คุณไม่พอใจ กับสิ่งที่คุณทำอยู่


14- ให้รางวัลกับตัวเอง การบริหารเวลานั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับงานเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องไปถึง เวลาทุกอย่างที่คุณใช้ไป ไม่ว่าเวลาที่คุณต้องการพักผ่อน หรือเวลา ที่คุณต้องใช้ไปในการ เติมไฟให้กับตัวคุณเอง ให้รางวัลกับตัวเอง เมื่องานแต่ละชิ้นสิ้นสุดลง อาจจะเป็นรางวัลง่ายๆเช่น การให้ช่วงเวลาที่หยุดพักออกไป coffe break หรือวางแผนที่จะไปพักผ่อนเมื่อ project ใหญ่ของคุณจบลง
















วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552





ใครที่เคยบอกว่า ดื่มกาแฟ ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เปลี่ยนความคิดบ้างอะไรบ้างก็น่าจะดี 6 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกาแฟ ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้ แต่รู้ไว้ได้เปรียบมากมาย
1.ใครบอกว่า การดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ความคิดเหล่านี้จะเปลี่ยนไป เพียงคุณดื่ม กาแฟ วันละ 1-2 ถ้วย

2.ไม่เชื่อใช่ป่ะ...ว่า กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาท ี่ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้น ดื่มกาแฟซิ

3.ดื่มกาแฟน้อยๆ แต่ นานๆ หากคุณต้องการดื่มเพราะแก้ง่วง แทนที่จะดื่มมันทีเดียวหมดแก้ว เปลี่ยนใหม่เป็นในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4.ไม่น่าเชื่อว่า ความมหัศจรรย์ของกาแฟ กลายเป็นว่าดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร...เพราะเมล็ดกาแฟ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่ม อื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อ นั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5.เดี๋ยวจะหาว่า มีแต่ข้อดี เพราะฉะนั้นระวังไว้นิดก็ดี...องค์ประกอบหลักของกาแฟ คือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันใ นผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็ จะไม่มีผล

6. สุดท้าย ดีแคฟ...ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้า งแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซ ึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วยก็

อย่าลืมนะว่าถ้าคุณอยากดื่มให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่เหมาะสม และพอดี แล้วคุณจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ


ยกย่องนมช็อกโกแลต เป็นเครื่องดื่มเสริมพลัง


เกร็ดความรู้ ใหม่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการออกมาบอกว่า หลังการออกแรงเสียเหงื่อมามากควรดื่มนมช็อกโกแลต เพราะนมช็อกโกแลตจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว


หลังการออกแรงเสียเหงื่อมามาก ไม่ว่าจะเล่นกีฬาหรือทำงานหนักอะไรก็ตาม ทราบหรือไม่ว่าเราควรจะดื่มเครื่องดื่มชนิดใดเพื่อไปทดแทน


"นมช็อกโกแลต" เป็นคำตอบสุดท้าย อัลเธีย ซาเนโคสกี นักโภชนาการด้านกีฬา จากเพนน์-ซิลวาเนีย ให้คำแนะนำ โดยเธออธิบายว่าบางคนอาจจะดื่มน้ำ บางคนหันไปหาเครื่องดื่มเกลือแร่ไม่ใช่เพื่อแก้กระหายแต่เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่


แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายรายเริ่มจะเชื่อว่าคนเราต้องการอย่างอื่นด้วยหลังจากการออกแรงอย่างหนักๆ มาแล้ว เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวโดยเร็ว คนเราต้องการโปรตีนที่กลับไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นก็คือนมช็อกโกแลตนั่นเอง


เครื่องดื่มที่เป็นของชอบของเด็กๆ ชนิดนี้ยังเป็นแหล่งแคลเซียมอันอุดม และอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการอยู่ทีเดียวหลังจากออกแรงอย่างหนักมาแล้ว


ซาเนโคสกียังบอกว่า การดื่มน้ำก็เป็นทางเลือกที่เยี่ยมมากในการทดแทนการเสียน้ำ แต่หลังจากนั้นแล้วสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ คือการเติมพลัง ดังนั้นนมช็อกโกแลตจึงเป็นคำตอบที่น่าสนใจ


นมช็อกโกแลตแตกต่างจากนมธรรมดาตรงที่มีน้ำตาลเพิ่มเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นทางที่ดีในการทดแทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย แต่เนื่องจากการดื่มนมจะทำให้ได้แคลอรี่เพิ่มขึ้น จึงน่าจะดีกว่าหากเราเลือกดื่มนมไขมันต่ำ หรือนมปลอดไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
โรคอินเทรนต์ 5 โรค

อันดับที่ 1: โรคเครียด

จากผลการวิจัยของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2549 คนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคเครียดในระดับสูงมากถึง 8% เครียดระดับปานกลาง 33% และเครียดระดับน้อย 57% หนุ่มสาวในช่วงอายุ 25-35 ปี ซึ่งกำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีสถิติสูงที่สุด ความเครียดส่งผลให้นอนไม่หลับเลยวิตกกังวล จนกระทั่งอาเจียน เครียดลงกระเพาะอาหาร ปัสสาวะบ่อยจนกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นไมเกรนหรือลุกลาม ถึงขั้นเป็นโรคหัวใจ ส่วนผลกระทบทางด้านจิตใจ เช่น เกิดความกังวลตลอดเวลา ลนลานอย่างหนัก กังวลจน สมาธิไม่มี อารมณ์เสีย หงุดหงิด ฯลฯ หากปล่อยทิ้งไว้นานจะพัฒนาไปสู่โรคเครียดเรื้อรังได้

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : ผ่อนคลายความเครียดทางร่างกาย เริ่มง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย จะช่วยให้การทำงานของระบบเลือดหัวใจ และสมองดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดคาร์โบไฮเดรต และแอลกอฮอล์ หรือจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานใหม่ เช่น จัดให้มีมุมนั่งเล่นในสวนสวย มุมทำสมาธิ มุมรับประทานอาหารว่าง มุมดูหนังฟังเพลง บริการนวดคลายเครียดในที่ทำงาน




อันดับที่ 2: โรคระบบทางเดินหายใจ

มลภาวะเป็นพิษ สาเหตุหลักของโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด ไซนัส หวัด ภูมิแพ้ องค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคที่คร่าชีวิตคนทำงานมากที่สุดในปัจจุบันคือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โดยมีอัตราเสี่ยงสูงถึง 10% ของคนทั้งโลก นอกจากนี้รายงานทางการแพทย์ของไทยยังพบว่าคนกรุงเทพฯ มีอัตราผู้ป่วยภูมิแพ้สูงถึง 50% ต้นเหตุ แห่ง มลพิษก็มาจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ที่มีปริมาณ มากขึ้นทุกวัน อาการเบื้องต้นจะเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย โดยไม่ได้มาจากการเจ็บป่วย หายใจไม่สะดวก ป่วยกระเสาะ-กระแสะ เหมือนเป็นไข้หวัดตลอดเวลา คัดจมูก น้ำมูกน้ำตาไหล แต่ไม่มีไข้

* เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : เราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลารถติด พักอาศัยอยู่ในที่อากาศถ่ายเทหรือไปสูดอากาศนอกเมืองบ้าง และออกกำลังกายเป็นประจำ


อันดับที่ 3: ความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อ

การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทำให้ตาพร่ามัวรังสีจากหน้าจอทำให้กล้ามเนื้อตาตึงเครียด อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้นานจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย กล้ามเนื้อเมื่อยล้าเป็นอาการเครียดของกล้ามเนื้อเมื่อใช้งานต่อเนื่องนานๆ เช่น การกดแป้นคีย์บอร์ด ทำให้ข้อกระดูกนิ้วเสื่อม กล้ามเนื้อไหล่ตึง และเจ็บปวด การขยับเมาส์ไปมาทำให้ปวดกระดูกข้อมือ อาจเกิดพังผืดที่โพรงเส้นประสาทข้อมือหรืออุโมงค์ข้อมือ หากทิ้งไว้นานอาจ ปวดเรื้อรังถึงขั้นพิการ

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : อาการเหล่านี้บรรเทาด้วยการพักสายตา หลับตาหรือมองต้นไม้ใบหญ้าจะช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้ อาการเกี่ยวกับข้อมือ ควรพักข้อมือ รับประทานยาแก้ปวด ถ้าอาการหนัก อาจต้องสวมอุปกรณ์ประคองข้อมือ หรือฉีดยาเพื่อลดอาการเจ็บปวด อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาได้คือ ปรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับสรีระ เช่น ใช้แผ่นป้องกันแสง เพื่อป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอถนอมสายตา ควรปรับแสงสว่างหน้าจอให้เหมาะกับช่วงแต่ละเวลาด้วย ขณะใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ให้วางท่อนแขนขนานกับพื้น มีแผ่นรองข้อมือเพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวและการเสียดสี ปรับระดับเก้าอี้ให้นั่งสบาย ขาตั้งฉากกับพื้น ซึ่งถือเป็นท่าที่ถูกต้อง


อันดับที่ 4: โรคนอนไม่หลับ

การนอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนหลับๆ ตื่นๆ หรือสะดุ้ง ขึ้นมาและนอนหลับต่อไม่ได้ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อาหาร รูปแบบการใช้ชีวิต การเจ็บป่วย การใช้ยา ความเครียด ความกังวล ฯลฯ คนส่วนใหญ่ มักเป็นอยู่ 2-3 วัน แล้วจะหายไปเอง แต่บางรายที่นอนไม่หลับเป็นระยะเวลานานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ขึ้นไป หากปล่อยไว้นานๆ จะมีอาการเรื้อรัง กระทั่งส่งผลเสียร้ายแรงต่ออารมณ์ ความจำ การตื่นตัว ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา และไม่มีแรง บางครั้งกลายเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น พยายามนอนและตื่นเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม ออกกำลังกาย ผู้ที่วิ่งหรือออกกำลังกายวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าหากเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ หาสาเหตุชัดเจนไม่ได้ และรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่สามารถทำงานได้ หลับบ่อยครั้งในระหว่างวัน ควรไปพบแพทย์



อันดับที่ 5: โรคปลายประสาทอักเสบ

เกิดจากความผิดปกติของประสาทส่วนปลาย เป็นผลจากโรคเครียดและกล้ามเนื้ออักเสบ การได้รับสารพิษ หรือโลหะหนักอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการนั่ง ยืน หรือท่ายกของอย่างไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ จนเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแต่บริเวณคอ ลงไปที่ไหล่ เรื่อยถึงกระดูกสันหลัง และช่วงเอว ทำให้ทรงตัว ไม่ได้ ร่างกายอ่อนปวกเปียก ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หากปล่อยไว้กล้ามเนื้อจะลีบ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ โรคนี้พบบ่อยในคนทำงานนั่งโต๊ะ รวมทั้งคนที่อาศัยในเขตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีมลพิษหนาแน่น

* เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : ป้องกันได้โดยการนั่ง ยืน เดิน ในท่าที่ถูกต้อง นวดคลายกล้ามเนื้ออยู่สม่ำเสมอ อยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมดี อากาศดี

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552



นักวิจัยร้องเตือนว่า พวกภาชนะที่ทำด้วยพลาสติกอาจจะเป็นพิษภัยแก่สมองจนถึงตายได้ เพราะสารเคมีที่ใช้ ทำให้การทำงานของสมองเกี่ยวกับการเรียนรู้ และความจำเสื่อมโทรมลง เป็นต้นเหตุของโรคสมองเสื่อม หรือภาวะซึมเศร้าอย่างหนึ่ง

นายเนียล แมคลัสกี นักวิจัยมหาวิทยาลัยกูเอลฟ์ ชานนครโตรอนโตได้ เปิดเผยว่า โรงงานทำขวด ภาชนะพลาสติก แม้กระทั่งฟันปลอมทั่วทั้งโลก ต่างใช้สารเคมี ที่มีชื่อว่า “ไบสฟีนอล เอ.” เรื่องที่น่าวิตกก็คือ สารนั้นอาจจะซึมหรือ ละลายปนอยู่ในอาหารแข็งหรือเหลวที่ บรรจุอยู่ได้ และเมื่อกินเข้า มันจะเข้า ไปอยู่ในตัว ก่อกวนการสื่อสารระหว่างหน่วยประสาทของสมอง อันจำเป็นกับการเกิดความเข้าใจและจดจำขึ้นสิ่งที่เขาพบในการศึกษาซึ่งทำกับลิงแอฟริกาก็คือ “แม้แต่สารนี้ในปริมาณเล็กน้อย ก็ยังทำให้การก่อตัวของรอยประสานประสาทในบริเวณของสมองส่วนที่ทำหน้าที่ เกี่ยวกับการเรียนรู้ เสื่อมโทรมลงอย่างร้ายแรง"

ขวดเหล่านี้จะมีความปลอดภัยในการใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้น ก็ต้องไม่นานกว่า 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ ถือว่านานที่สุด และต้องเก็บไว้ให้ห่างจากความร้อนด้วยเช่นกันการล้างขวดน้ำซ้ำๆและล้างโดยการเขย่าขวดนั้น เป็นสาเหตุของการเสื่อมตัวของพลาสติก และเกิดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่จะเข้าไปรวมตัวกับน้ำที่คุณใส่ไว้ในขวดสำหรับดื่มทางที่ดีคุณควรจัดหาขวดสำหรับใส่น้ำ ที่สามารถใช้บรรจุน้ำได้หลายๆครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้อย่างประหยัด แต่อยากให้นึกถึงครอบครัวและตัวของคุณเอง




ผลการศึกษาล่าสุดจาก Harvard School of Public Health (HSPH) ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตหรือขวดพลาสติกแข็งหรือขวดนมเด็กเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะมีสารบีพีเอ (bisphenol A; BPA) เพิ่มขึ้นในปัสสาวะถึงสองในสามส่วน สารจำพวกนี้ใช้มากในอุตสาหกรรมบิสฟีนอลเอและพลาสติกชนิดอื่น มีผลต่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ สำหรับในคนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและเบาหวาน เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พบว่าการดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตทำให้ปัสสาวะมีสารบีพีเอเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอจากขวดบรรจุน้ำดื่มปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดและหากเราดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้พบสารตัวนี้เพิ่มในปัสสาวะ จะพบสารบีพีเอในขวดโพลีคาร์บอเนตซึ่งเป็นขวดน้ำที่นิยมใช้กันในหมู่เด็กนักเรียน นักท่องเที่ยวและของใครอีกหลายคนแล้วยังพบสารนี้ในขวดนมเด็ก ชิ้นส่วนงานทันตกรรม กาว อลูมิเนียมที่ใช้ใส่อาหาร และเครื่องดื่มกระป๋องอีกด้วย

การศึกษาหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อในสัตว์ ตั้งแต่ขัดขวางการเจริญของระบบสืบพันธุ์ การพัฒนาและการจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อบริเวณต่อมน้ำนม ลดการผลิตสเปิร์มในรุ่นลูกรุ่นหลาน และอาจอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการแรกเริ่ม

คาริน บี มิเชล กล่าวว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก HSPH และ Harvard Medical School กล่าวว่า การดื่มน้ำเย็นจากขวดโพลีคาร์บอเนตแค่เพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถทำให้ระดับบีพีเอในปัสสาวะเพิ่มขึ้นถึงสองในสามส่วนได้ และหากน้ำในขวดร้อนอย่างกรณีของขวดนมเด็กระดับของสารบีพีเอที่พบในปัสสาวะก็จะมากขึ้น จึงต้องระวังอย่างยิ่งเนื่องจากสารบีพีเอจะขัดขวางการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อในทารกได้มากกว่า

การศึกษานี้ใช้อาสาสมัครจำนวนทั้งสิ้น 77 คน โดยให้อาสาสมัครทำการ ‘ล้างท้อง’ ก่อนด้วยการดื่มน้ำเย็นจากขวดสแตนเลสเป็นเวลา 7 วันเพื่อลดระดับสารบีพีเอในร่างกาย ระหว่างนี้ทีมวิจัยก็จะตรวจสารบีพีเอในปัสสาวะไปด้วย จากนั้นจึงให้ขวดโพลีคาร์บอเนตแก่อาสาสมัครคนละสองขวดและให้อาสาสมัครดื่มน้ำทุกชนิดจากขวดที่เตรียมให้ตลอดสัปดาห์และทำการตรวจปัสสาวะไปด้วย

ผลตรวจแสดงให้เห็นว่า สารบีพีเอในปัสสาวะอาสาสมัครเพิ่มขึ้นถึง 69% หลังดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนต (ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอที่ตรวจพบในกลุ่มเด็กนักเรียนใกล้เคียงกับคนอเมริกาทั่วไป) การศึกษาก่อนหน้านี้รายงานว่า สารบีพีเอ สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดได้ และการศึกษานี้เป็นงานแรกที่แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้มข้นของสารบีพีเอในปัสสาวะคน

ที่น่ากังวลก็คือ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ขวดประเภทนี้ดื่มน้ำเป็นประจำ แถมยังไม่ค่อยยอมล้างขวด และหากเด็กเด็กกรอกน้ำร้อนลงไปก็จะทำให้ได้รับสารบีพีเอเพิ่มมากขึ้น เพราะความร้อนช่วยทำให้สารบีพีเอรั่วไหลออกมามากขึ้น

นับได้ว่าการศึกษานี้เห็นผลพอดีเวลาก็ว่าได้เพราะหลายประเทศกำลังตัดสินใจว่าจะออกมาตรการห้ามใช้บีพีเอในขวดนมเด็กดีหรือไม่ แถมยังช่วยเติมเต็มข้อมูลผลเสียของสารตัวนี้ต่อสุขภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ ลองลดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกดูนะ ไม่แน่ว่าสารบีพีเอส่วนใหญ่ในตัวเราอาจมาจากขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้ก็ได้ใช่ไหม






วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ในชีวิตประจำวันคงไม่มีใครหลีกเลี่ยงเชื้อโรคทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นได้ ยิ่งถ้าต้องใช้ชีวิตนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ยิ่งทำให้ง่ายต่อการสัมผัสเชื้อโรคทั้งหลายเหล่านั้นได้


มีการศึกษาวิจัยพบว่า การล้างมือด้วยน้ำเปล่าและสบู่แล้วเอามือไปทาบกับอาหารเพาะเชื้อ พบว่าปริมาณเชื้อต่างกันอย่างลิบลับ นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยเรื่องการล้างมือชี้ให้เห็นว่า การล้างมือของคนทั่วไป มักจะล้างไม่สะอาดและไม่ทั่วถึง ส่วนใหญ่มักสะอาดแค่ฝ่ามือส่วนปลายนิ้วที่เป็นส่วนที่นำเชื้อโรคได้ดีมักจะยังสกปรกอยู่ดังนั้น จะเห็นได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่งจะมีป้ายแสดงการล้างมือที่ดีไว้ 7 ขั้นตอน เพื่อให้การล้างมือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ



ครอบครัวควรให้ความสำคัญกับการสร้างสุขนิสัยที่ดีด้วยการล้างมือทำความสะอาดมือ ภายหลังทำกิจกรรมต่างๆโดยเน้นว่า หากยอมเสียเวลาเพียง 2 – 3 วินาที ด้วยการล้างมือที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะทำก่อนและหลังที่ทำกิจกรรมดังต่อไปนี้

1. ทุกครั้งก่อนและหลังการใช้ห้องน้ำ / ห้องส้วม

2. ทุกครั้งก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร

3. หลังจากการจามหรือไอ หรือไปสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย

4. ก่อนและหลังการเตรียมอาหาร หรือปอกผลไม้

5. หลังทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้าน

6. ทำความสะอาดหลังสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง

7. ภายหลังจากออกไปปฏิบัติภารกิจนอกบ้าน

8. ก่อนและหลังการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องมีการสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น

**อย.รุดตรวจเจลล้างมือ แนะใช้สบู่ก็ฆ่าเชื้อโรคได้ ถ้าล้างมือถูกวิธี พร้อมสร้างงาน สร้างอาชีพ กลุ่มแม่บ้านโอทอป ผลิตหน้ากากอนามัยที่ได้คุณภาพ**






สิ่งที่ต้องเตรียม เราจะแยกเป็นส่วนผสมเป็น 3 ส่วน คือ ส่วน A,B,C เพื่อให้เป็นการเข้าใจง่าย


1. สารเคมีส่วน A CARBOPOL 940 0.90 กรัม

2. สารเคมีส่วน B ALCOHOL 95% 135.00 กรัม
TRICLOSAN 0.30 กรัม


3. สารเคมีส่วน C TRIETHANOLAMINE (TEA) 2.40 กรัม

4. น้ำสะอาด (แบ่งเป็น 2 ส่วน) ส่วน A 131.40 กรัม ส่วน C 30.00 กรัม

5. สีผสมอาหาร (ตามชอบ)

6. ตาชั่ง สำหรับชั่งน้ำหนักวัตถุดิบ

7. ภาชนะใส่วัตถุดิบ

8. ไม้พาย

9. ที่ดูด (dropper )




วิธีทำ






1. A เตรียมน้ำสะอาดส่วนแรก ชั่งตามสูตร เตรียมวัตถุดิบ CARBOPAL 940 ชั่งตามสูตร











2. ค่อย ๆ เท CARBOPAL 940








3. คนจน CARBOPAL กระจายตัวหมด










4. B เตรียม ALCOHOL 95% ชั่งตามสูตร TRICLOSAN ชั่งตามสูตร








5. ผสม ALCOHOL 95% และ TRICLOSAN เข้าด้วยกัน












6. คนให้เข้ากันดี








7. นำส่วน B กวนให้ละลายจนเข้ากันแล้ว เทลงส่วน A











8. C เตรียมน้ำสะอาดส่วนที่สอง (ชั่งตามสูตร) เตรียมวัตถุดิบ TRIETHANOLAMINE (TEA) ชั่งตามสูตร










9. ผสมให้เข้ากันดี










10. เทส่วน C ลงไปผสมกับส่วน A










11. คนให้เข้ากัน









12. นำสีผสมอาหารหยดลงไปตามชอบ










13. คนให้เข้ากันอีกครั้ง









14. เทใส่ในภาชนะเปิดฝาทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะเซ็ทตัวเป็นเจล











15. ก็จะได้เจลล้างมือฆ่าเชื้อโรคค่ะ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552





ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเหนือทวีปเอเชีย 22 กรกฎาคม 2552



ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2552 จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังมิดหมดทั้งดวง โดยกลางวันจะเปลี่ยนเป็นกลางคืนทันทีเพียงไม่กี่วินาที และจะมีแสงสนธยาเกิดขึ้นที่บริเวณขอบฟ้าโดยรอบ 360 องศา เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่นาที กลางคืนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นกลางวันตามเดิมอีกครั้ง แล้วแสงสนธยาที่บริเวณขอบฟ้าก็จะหายไป

สำหรับที่ประเทศไทยครั้งนี้ เราจะมองเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน คือ ดวงอาทิตย์จะปรากฏเว้าแหว่งมากที่สุด ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกดวงจันทร์บดบังไปบางส่วนนั่นเอง โดยกลางวันก็ยังคงสว่างอยู่แต่ความสว่างจะลดลง
เส้นทางและเวลาที่เกิดสุริยุปราคา แนวคราสของสุริยุปราคาครั้งนี้ จะพาดผ่านประเทศอินเดีย เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาน จีน ญี่ปุ่น และมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ส่วนสุริยุปราคาบางส่วนเห็นได้เป็นบริเวณกว้างตามเส้นทางที่เงามัวของดวงจันทร์พาดผ่าน ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ สำหรับสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้จะเต็มดวงนานที่ สุดในศตวรรษที่ 21 คือ 6 นาที 39 วินาที ที่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้


สำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงโดยเต็มดวงนานที่สุด คือ 5 นาที 51 วินาที ณ เมืองเจียซิง ในเขตมณฑลเจ๋อเจียง ส่วนเมืองหรือมณฑลอื่นๆก็จะเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาแตกต่างกัน และเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ก็แตกต่างกัน โดยแนวการเกิดสุริยุปราคาจะพาดผ่านเมืองเล่อซาน ในเขตมณฑลเสฉวน ที่เวลาประมาณ 09.09 น.ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศจีน และสิ้นสุดเหตุการณ์ที่เวลาประมาณ 09.41 น. ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน





แผนที่ท้องฟ้าแสดงดาวเคราะห์และกลุ่มดาว


ที่ปรากฏขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง วันที่ 22 กรกฎาคม 2552 ประเทศจีน



วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเตรียมตัวก่อนสอบ

การสอบ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ต้องเก็บตัวเงียบเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมให้มากในการนำไปสอบแข่งขัน การที่จะทำข้อสอบให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจนั้น ต้องมีการวางแผนการศึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ควรให้เวลากับการศึกษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

1. การเตรียมความพร้อมก่อนวันสอบ ต้องให้ความสำคัญกับตารางสอบให้มาก ๆ เพราะตารางสอบจะบ่งบอกถึง วัน เวลา วิชาที่สอบ

2. ความพร้อม โดยก่อนออกจากบ้านไปยังสถานที่สอบ ให้ความสำคัญกับการแต่งกายหรือยัง การแต่งกายต้องสุภาพเรียบร้อย (ชุดนักเรียน) ถูกต้องตามระเบียบการแต่งกายของนักเรียนระดับ ม. ปลายหรือยัง ถ้ายังสำรวจตัวเองก่อนที่คณะกรรมการผู้คุมสอบจะไม่อนุญาตให้เข้าห้องสอบนะคะ

3. เมื่อเข้าห้องสอบนั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สบาย ฟังคำชี้แจงจากคณะกรรมการคุมสอบให้ละเอียด ไม่เข้าใจให้สอบถามทันที เขียนชื่อ - สกุล รหัส ในกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะถ้าลืม ต่อให้เก่งสักเท่าไร บวก ไสยศาสตร์ก็ช่วยอะไร ไม่ได้นะคะ

4. รวบรวมสติให้มั่น อ่านคำชี้แจงให้ชัดเจน และให้เข้าใจ พร้อมทั้งสำรวจว่าข้อสอบที่ได้มีจำนวนข้อ และจำนวนหน้าตรงตามคำชี้แจงที่ข้อสอบได้ระบุไว้หรือไม่ ถ้ามีปัญหาอะไรให้รีบแจ้งคณะกรรมการคุมสอบโดยเร็ว

5. น้องต้องวางแผนการใช้เวลาในการสอบทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาในการทำข้อสอบข้อละกี่นาที จึงจะเสร็จ ควรควบคุมและใช้เวลาในการทำข้อสอบตามแผนที่วางไว้ เพราะเมื่อพบข้อที่ยาก อาจจะทำให้ทั้งเวลาและความรู้สึกของเราเสียไปได้

6. รีบจดสาระสำคัญ เช่น สูตร หรือข้อความที่ต้องใข้ในวิชานั้น ๆ ลงในกระดาษคำถามก่อนที่ความตื่นเต้นจะทำให้ลืมไปเสียก่อน

7. เลือกทำข้อสอบในส่วนของข้อที่ง่ายก่อน แล้วค่อยทำข้อสอบในส่วนที่ยากต่อไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ในสถานการณ์ที่พบข้อที่ยากให้ทำเครื่องหมายและข้ามไปทำข้อถัดไปก่อนแล้วจึงย้อนกลับมาทำใหม่ ระวังข้อคำถามหรือต้องเลือกที่มีคำที่เป็นปฏิเสธ หรือปฏิเสธซ้อนปฏิเสธให้ใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาความหมายที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เสียคะแนนได้

8. น้องควรใช้ความรู้ในการทำข้อสอบและไม่ต้องสนใจกับรูปแบบของข้อที่ตอบให้มากนัก เช่น ตอบข้อ ก แล้ว ข้อถัดไปไม่ควรจะเป็นข้อ ก อีก เป็นต้น ให้คำนึงถึงตัวเนื้อหาที่เป็นคำตอบที่ถูกต้องดีกว่า เพราะถ้ายึดติดกับตัวรูปแบบของการตอบแล้ว อาจทำให้พลาดจากคะแนนที่ต้องการได้ค่ะ

9. การตอบปกติแล้วคำตอบที่คิดไว้เป็นครั้งแรกมักจะเป็นคำตอบที่ถูก แต่ถ้าหากจะเปลี่ยนคำตอบ ควรเปลี่ยนเมื่อแน่ใจจริง ๆ ว่าที่ตอบมาแล้วตอบผิด แต่หากไม่แน่ใจให้คงคำตอบเดิมไว้นะคะ ความรู้ไม่เข้าใครออกใคร ความคิดครั้งแรกจะเป็นจะเป็นตัวช่วยเพิ่มคะแนนให้ได้คะ ถ้าเวลาในการทำข้อสอบเหลือพอที่จะทบทวนให้น้องย้อนกลับไปทบทวนเฉพาะข้อที่ยากและไม่เข้าใจ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง และถ้าข้อสอบที่มีตัวเลือกเหลือให้ต้องเดาต้องเดาอย่างมีหลักการของความถูกต้องนะคะ เพราะไม่งั้นคะแนนอาจติดลบได้ค่ะ แต่บางคนมีเคล็ดลับการเดาที่ดี คือ การมีพื้นฐาน ความรู้และประสบการณ์ ก็อาจทำแต้มขึ้นมาได้ค่ะ

10. ข้อสอบที่นิยมนำมาทดสอบจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ ข้อสอบแบบ ปรนัย และ ข้อสอบแบบอัตนัย ซึ่งบางคนอาจจะสับสนกับ คำว่า "ปรนัย" และ "อัตนัย" อยู่บ้าง "ปรนัย" คือ ข้อสอบที่มีคำถาม พร้อมตัวเลือกให้เลือกตอบ จำนวน 4 ตัวเลือก (ระดับมัธยมศึกษา) และ "อัตนัย" คือ ข้อสอบที่มีคำถาม เพียงอย่างเดียว แล้วให้หาคำตอบจากการแสดงวิธีทำ เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปเนื้อหาของข้อสอบที่ใช้ จะวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียนมากกว่า โดยใช้หลักการของนักจิตวิทยาการศึกษา 11. อย่าลืมตรวจสอบกระดาษคำตอบว่าได้ตอบทุกข้อคำถามและเลือกตอบเพียง 1 ตัวเลือกเท่านั้นก่อนส่งให้กรรมการคุมสอบด้วยนะคะ

12. หลังสอบเสร็จแล้วให้กลับไปทบทวนในข้อที่ยากหรือข้อที่ไม่แน่ใจทันที เพื่อเป็นการเรียนรู้จากข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนอีกครั้ง สำหรับในการสอบครั้งต่อไป

บางคน อาจจะเห็นความสำคัญของเนื้อหาในเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดา แต่อย่าประมาทนะคะ เพราะความประมาททำให้พลาดโอกาสมานักต่อนักแล้ว เตรียมตัวกันไว้แต่เนิ่น ๆ ดีที่สุดดด

"ความสำเร็จในทางการศึกษา มิได้มาเพราะโชคช่วย หรือด้วยคำพร่ำภาวนา แต่มาจากการไขว่คว้า พยายาม เอาจริงเอาจังและมีวินัย"


จำไว้ก่อนสอบ

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

2. ทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว

3. กินอาหารที่มีประโยชน์

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552



“ 9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ “


โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ดผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอา หารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้



1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ




2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น




3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน




4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน




5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ




6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์




7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง





8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์




9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม