วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552


ใช้สบู่เหลว อันตราย!


สบู่เหลวที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ เป็นแค่สารซักฟอกที่ใช้ในการผลิตน้ำยาล้างจาน ทำความสะอาดพื้น แถมถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีนจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด!!!


เดี๋ยวนี้สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆ จะ ต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่น แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว


"ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจน ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลวคงจะไม่เกิดขึ้นฉับ พลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ (คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย"


หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฎหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด




จริงหรอ...

1.ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2.ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3.ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4.ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5.มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6.พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7.เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย
จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8.เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

9.นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10.ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552


อยากสูงและฉลาดต้องนอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแต่สำหรับเด็ก ๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้มากกว่าผู้ใหญ่
โดยเด็กประถมต้น (อายุ 6-8 ขวบ) ควรนอน 11 ชั่วโมง เด็กประถมปลาย (อายุ 9-11 ขวบ) ควรนอน 10 ชั่วโมง เด็กมัธยมต้น (อายุ 12- 14 ปี) ควรนอน 9.25 ชั่วโมง เด็กมัธยมปลาย รวมทั้ง ปวช. (อายุ 15-17 ปี) ควรนอน 8 ชั่วโมง
การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของเด็ก ๆ เติบโตสูงขึ้น เพราะในเวลาที่เด็ก ๆ นอนหลับสนิท ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ growth hormone ออกมา ถ้าเด็กนอนไม่พอ growth hormone จะถูกหลั่งออกมาน้อยกว่าปกติ
ส่งผลให้ตัวเตี้ย ไม่สูงเท่าที่ควรนอกจากนี้การนอนไม่พอยังส่งผลให้การเรียนตกต่ำ เนื่องจากความง่วงนอนทำให้การรับรู้ ความเข้าใจ สมาธิ การเรียนรู้สิ่งใหม่ การแก้ปัญหา และความจำลดน้อยลง การนอนไม่พอยังทำให้เด็ก ๆ มีอารมณ์รุนแรง มีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด ภูมิต้านทานต่ำ และเจ็บป่วยง่าย
กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้รับผิดชอบและผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับและหาวิธีแก้ไข ซึ่งการแก้ไขทำได้ไม่ยาก
เริ่มที่ให้ความรู้ ให้เด็กไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนให้เพียงพอ การนอนหลับมีความสำคัญเท่ากับอาหารและการออกกำลังกาย
เห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอแล้ว มีการศึกษาพบว่าการงีบหลับเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้เด็กฉลาดขึ้น ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการรณรงค์ให้เด็กญี่ปุ่นงีบหลับเวลากลางวัน เพื่อความได้เปรียบทางสติปัญญามากว่า 3 ปีแล้ว และในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้บรรจุวิชาการนอนหลับในชั่วโมงการเรียนการสอนของเด็กในระดับมัธยมตอนปลายมา 2 ปีแล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่เด็กไทยจะได้มีระดับสติปัญญาและความสูงได้มาตรฐานทัดเทียมกับเด็กในนานาประเทศ ???.
4 ปีในมหา’ลัย..ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้ม?

ว่ากันว่าช่วงชีวิตแห่งการเป็นนักศึกษานั้น เป็นช่วงที่ความคิดจะถูกผูกติดให้เชื่อมโยงอยู่กับความฝัน ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่หลายคนมักจะเลือกใช้เวลาระหว่างวัยเรียน ตักตวงหาประสบการณ์ต่างๆ ก่อนออกไปใช้ชีวิตจริงในสังคม และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเสียดายโอกาสที่มีค่ากันภายหลัง เพราะเงื่อนไขแห่งกาลเวลาที่ถูกตั้งกฎไว้ว่า “ไม่สามารถย้อนกลับมาได้” สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย(บางคนอาจมากกว่านั้น) เราจะใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างไรให้คุ้มค่า? ลองฟังทัศนะกันดู

เริ่มต้นที่คนแรก กับหนุ่มนักกิจกรรมที่คอนเฟิร์มว่าเขาใช้ชีวิตนักศึกษาแบบสุดคุ้ม กับตำแหน่ง นายกสโมสรนักศึกษา 2 ปีซ้อน นักกีฬามหาวิทยาลัย ทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนอย่าง “ย้ง-กิตติโรจน์ อัศวอารีย์” นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่เห็นว่าการใช้ชีวิตนักศึกษาให้คุ้มแนวทางหนึ่ง คือ ต้องทำกิจกรรม ซึ่งนอกจากการเป็นนักกิจกรรมที่ย้งทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้อง กิจกรรมค่าย การดูแลชมรม ให้อยู่ในกรอบและระเบียบต่างๆ แล้ว ย้งยังแบ่งเวลาสำหรับซ้อมกีฬา และวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงานเป็นครูสอนพิเศษไปด้วย

“การทำกิจกรรมแม้บางครั้งจะเหนื่อย แต่ก็เต็มไปด้วยสีสัน เพราะได้ประสานงานทั้งนักศึกษา อาจารย์ รวมถึงผู้บริหาร ทำแล้วผมมีความสุข และได้ประโยชน์กับตัวเองด้วย เช่น การเข้าหาผู้ใหญ่ การปรับตัว การฝึกความอดทน และที่สำคัญสุด ตรงนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรา และยังสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานร่วมกับผู้คนที่หลากหลายไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ด้วย”ย้งขยายความ

ย้ง และย้ำด้วยว่า การทำกิจกรรมช่วยให้เขาได้พัฒนาตัวเองหลากหลายด้าน เพราะเขาเองก็ได้เรียนรู้วิธีการทำงานจากผู้อื่นด้วย แต่ที่สำคัญการทำกิจกรรมจะต้องไม่ไปเบียดเบียนเวลาเรียนจนทำให้ต้องเสียการเรียน

ขณะที่ “ออย-ธารทิพย์ พ่อค้า” บัณฑิตหมาดๆ จากคณะแพทยศาสตร์ รั้วแม่โดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเหมือนคนอื่น แต่ก็ใช้เวลาเรียนอย่างจริงจัง และทุ่มเทถึง 6 ปีในการสั่งสมความรู้ ออย เล่าถึงการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่าของตนเองว่า เที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่ก็เรียนอย่างหนัก และยึดหลักการแบ่งเวลา “จริงๆ อยากเรียนนิเทศศาสตร์มากๆ เพราะเข้ากับตัวเองมากกว่าการเรียนหมอที่ดูเครียด แต่แม่อยากให้เรียนหมอ สุดท้ายเราตัดสินใจเชื่อแม่ จากนั้นจึงคิดว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเรื่องเรียนเป็นหน้าที่ของเรา อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีทั้งเรียนทฤษฎีและฝึกงาน ซึ่งจากเดิมช่วงเรียนทฤษฎีหนักๆ เราก็ยังเฉยๆ กับการเรียน แต่พอช่วงฝึกงานได้ฝึกอยู่แผนกสูตินารีเวช ได้ทำงานกับเด็ก ก็รู้สึกชอบและตักตวงความรู้ได้มากกว่าเดิม ”

ถึงวันนี้ “ออย” ปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลในถิ่นบ้านเกิดที่ จ.อ่างทอง โดยออยแนะถึงเทคนิคง่ายๆ ในการเรียนว่า ต้องพยายามตักตวงความรู้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองคร่ำเคร่งกกับารเรียนมากเกินไป

“สำหรับออย หากวันไหนขี้เกียจก็พักผ่อน เที่ยวเล่นปกติ แต่ต้องแยกแยะหากวันไหนเรียนก็จะจริงจัง และตั้งใจเรียน”

ขณะ “แนน-วิณุรา มหามิตร” บัณฑิตจากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า จะต้องไม่เสียดายภายหลังที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นๆ เพราะขณะที่เรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน เช่น การออกค่าย หรือกิจกรรมอื่นๆ

“ช่วงเรียนปริญญาตรี แนนทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย จึงไม่ได้ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย หรือของคณะ ประกอบกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ชั้นเรียนที่เรียนไม่ได้เรียนกันแค่ห้องเดียว แต่เป็นการเรียนรวมทำให้มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่อนข้างน้อย เราจึงสนิทกับเพื่อนช่วงมัธยมมากกว่า ทำให้เสียดายประสบการณ์ที่เราควรจะมีในช่วงวัยเรียน”

อย่างไรก็ตาม แนนตั้งใจว่าจะแก้ตัวในช่วงที่เธอศึกษาปริญญาโท คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ว่าจะไม่สนุก และมีสีสันเท่าชีวิตในช่วงปริญญาตรีก็ตาม
เอาล่ะทุกคนชาวรั้วมหาวิทยาลัยได้ฟังอย่างนี้แล้ว อย่างไรก็ดี ไลฟ์ ออน แคมปัสขอแนะเลยแล้วกันว่า อย่าลังเลที่จะใช้ชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ฝันไหนที่ยังไม่ได้ตามหาอย่ามัวแต่ลังเล รีบปรี่เข้าไปทำตามฝัน จะได้ไม่ต้องมานั่ง “เสียดาย”ในภายหลังเหมือนหลายๆคน... แล้วจะหาว่าแคมปัสไม่เตือน และสำหรับใครที่มีประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยที่สุดแสนประทับใจ และทรงคุณค่า อยากนำความทรงจำดีๆ มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ต่างมหาวิทยาลัย ส่งเรื่องราวมาได้ที่



ในการทำงานนั้น หนึ่งในความเครียดที่ทุกคนต้องเผชิญเป็นประจำคือ การทีงานมากกว่าเวลาที่มี หรือว่า ความรู้สึกที่ว่าเวลาน้อยจนไป เวลาก็เหมือนกับทรัพยากรอื่นที่มีจำนวนจำกัด จึงต้องใช้ไห้อย่างคุ้มค่าที่สุด เมื่อเรามำงานได้ทันตามเวลาที่กำหนด แน่นอนครับความเครียดก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งผลสุดท้ายที่ได้คือสุขภาพกายและใจ ที่จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคุณเป็นคนนึงที่รู้สึกว่าเวลาทำงานน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับงานที่ได้รับมอบหมาย ทรือแค่อยากจะใช้เวลาทำงานที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากขึ้น คุณไม่ได้คิดแค่คนเดียวหรอกครับ มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่คิดอย่างนี้ครับ เราทุกคนต้องการที่ทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่เท่าเดิม เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน การบริหารเวลานั้น ที่จริงแล้วคือการที่คุณบริหารตัวคุณเองนั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องของการสร้าง commitment การจัดการ และการมุ่งสู่เป้าหมาย และใช้เวลาให้คุ้มค่าอย่างที่สุดและนี่คือคำแนะนำนะครับ ที่จะช่วยให้คุณ activeมากขึ้น และมีความคิดที่ proactive เกี่ยวกับการใช้เวลา



1- จัดทำรายการ to-do list เริ่มต้นด้วยการ เขียนรายการสิ่วที่ต้องทำ (to-do list) หรือรายการสิ่งที่ควรจะทำเอาไว้ แล้วพยายามทำให้เป็นนิสัยนะครับ อันนี้รวมถึง การแบ่งแยกรายการ่างๆ ออกเป็นงานแบบเร่งด่วน กับงานธรรมดาที่ไม่ด่วนมาก เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีทางพลาดรายการอะไรที่จำเป็นสำหรับคุณไปเลย และไม่ว่าคุณจะไปไหน ให้พกติดตัวไปด้วยนะครับ คุณอาจจะลงบันทึกไปใน palm หรือว่า pocket pc หรือว่า agenda เล่มโปรด ก้แล้วแต่ความถนัดนะครับ ประเด็นคือ ให้ update ให้บ่อย และพยายามทำตามที่จดไว้นะครับ นอกจากนี้ ถ้าคุณมีโครงการ หรือว่างานอะไรก็ตามที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร ให้แบ่ง ยroject นั้น ออกเป็นงานย่อยๆ ที่คุณสามารถแบ่งเวลามาทำได้ ถึงแม้ว่าคุณจะมีเวลาว่างเพียงช่วงสั้นๆ


2- แบ่งเวลา เริ่มต้นตั้งแต่ การประมาณการเวลาที่คุณจะใช้ในแต่ละงาน ให้ออกมาเป็นตัวเลขกลมๆ เลยนะครับ อาจจะเป็น 10 นาที หรือ 3 ชั่วโมง และสรุปด้วยวันที่ที่คุณคาดว่า งานนั้นจะต้องเสร็จ โดยเฉพาะงานที่ไม่มีลำดับงาน ก่อนหน้า หรือว่าต้องรอทำงานต่อจากนี้ คุณสามารถที่จะใช้เวลาว่างๆ ในช่วงที่คุณไม่คาดคิดทาก่อน ยกตัวอย่างนะครับ คุณสามารถใช้เวลาว่างระหว่างคอยการประชุม นั่งค้นหาข้อมูลจาก internet


3- กำหนดวัน deadline ในแต่ละงาน และพยายามทำให้ได้ การกำหนด deadlines ในแต่ละงานนั้น ให้กำหนดตามที่คิดว่าเป็นไปได้นะครับ และความจำเป็นของงานนั้นๆ ไม่ได้ง่าย หรือว่ายากจนเกินไป และจะต้องพยายามทำให้ได้นะครับ ไม่ใช่ ตั้งไว้เฉยแล้วไม่ทำตาม คุณเคยสังเกตุไม๊ครับว่า คุณทำงานได้เร็วมากแค่ไหน ไม่ว่าการอ่าน หรือว่าทำงานเอกสาร การมอบหมายงาน หรือการตัดสินใจในเรื่องๆใดๆก็ตาม คุณมักจะทำได้เร็วกว่าปกติเสมอ ถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดลาพักร้อน และคุณต้องจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่คุณจะหยุดไป ก็เหมือนกับงานทั่วไปแหละครับ ไม่ว่าคุณมีเวลานานมากแค่ไหน 3 เดือน หรือ 3 วัน คุณก็จะใช้เวลาสั้นๆ ก่อนที่จะครบกำหนดมาจัดการงานนั้นๆ และเชื่อไม๊ครับ มันก็เสร็จทันเวลาทุกครั้งไป แต่ช่วงที่คุณกำลังปั่นงานนั่นแหละครับ เป็นช่วงที่คุณมีความเครียดค่อนข้างมาก สิ่งที่เราจะบอกคือ เมื่อมีกำหนดวันเสร็จของงาน คุณก็จมีความครียดมากขึ้น แต่นั้นก็ทำให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน หลีกเลี่ยงการเสียเวลา


4- ใช้เวลาอย่างฉลาด เลือกที่จะ check mail ให้เป็นเวลานะครับ แล้วให้ voice mail รับสายแทน ถ้าคุณอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่อยากให้ใครมากวน และอยากให้งานนั้นเสร็จโดยเร็วที่สุด ในเวลา 1 -2 ชั่วโมง และถ้าเป็นไปได้นะครับ ไม่ควรที่จะหยิบเอกสาร หรือว่า email มาอ่านซ้ำโดยไม่จำเป็น ดังนั้น อย่าเปิดเอกสาร หรือ check mail จนกว่าคุณจะแน่ใจว่า คุณมีเวลามากพอที่จะอ่าน และจัดการกับมัน ไม่ว่าจะเป็น การตอบ forward ไปให้คนที่เหมาะสม จัดเก็บเข้า หรือว่าสมควรที่จะลบทิ้ง


5- ทำทุกอย่างให้เป็นระเบียบ จัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย จัดเก็บงานเอกสาร ทั้งที่เป็น hard copy และ soft copy ที่อยู่ในเครื่องคุณ ให้มีความเป็นระเบียบ และง่ายต่อการค้นหา ทั้งนี้รวมถึง e-mail ด้วยนะครับ คนเราใช้เวลาค่อนข้างมาก ในการที่จะจัดหาเอกสารหรือว่าข้อมูล ที่เรารู้ว่าเรามี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็คงเหมือนที่ Benjamin Franklin พูดเอาไว้นะครับว่า: "A place for everything, everything in its place." (ผมขอไม่แปลนะครับ)


6- Stay o?n task ให้เตรียมกล่อง หรือว่าถาดสำหรับใส่เอกสาร ไว้ที่โต๊ะนะครับ แล้วติดไว้ด้วยคำว่า กล่องรับเอกสาร ให้เอกสารทุกอย่างที่ใครๆก็ตามอยากส่งถึงคุณ ให้ใส่ลงมาในนี้ให้หมด ดังนั้นเอกสารทุกอย่างจะไม่กระจัดกระจาย และคุณสามารถนำมาจัดการได้ทันทีที่มีเวลาว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อมีใครมาตามงาน คุณจะได้รู้ทันทีว่า งานนั้นถึงไหนแล้ว อ่านหรือยัง และถ้ายังคุณจะได้รู้ว่าอยู่ในกล่องนั้น โดยที่ไม่ต้องไปเสียเวลารื้อโต๊ะ นั่นจะมีเวลาให้คุณทำงานของคุณเพิ่มมากขึ้น



7- เลี่ยงการถูกรบกวน ปิดประตูห้องทำงานบ้างนะครับ ถ้าคุณเป็นพวกที่ทำงานอยู่ในห้อง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเปิดห้องตลอดเวลา แม้ในขณะที่คุณกำลังทำงานเร่งด่วน เพราะถ้าคุณทำงานด่วน ที่สำคัญอยู่นั้น การได้รับการรบกวนขณะที่ทำงาน คุณจำทำงานได้ช้าลง และคุณก็ไม่มีสมาธิ ที่จะฟังปัญหาของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ดังนั้น ถ้ามีเพื่อนร่วมงานเดินมาหาคุณที่โต๊ะ ในขณะที่คุณกำลังยุ่งอยู่แล้วละก็ ให้ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วอธิบายให้อีกฝ่ายทราบว่าคุณกำลังยุ่งอยู่ และขอให้นัดหมายเวลาพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ให้คุณทำงานที่คุณทำอยู่ให้เสร็จเสียก่อน และการลุกขึ้นยืนพูดในทางจิตวิทยา เป็นการยืนยันถึงคำพูดคุณว่าคุณหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เรียนรู้และทำงานแบบ teamwork


8- ร่วมมือ และช่วยเหลือกัน เพื่อนร่วมงานของคุณ คาดหวังว่างานของคุณจะเสร็จตามกำหนดเวลา เหมือนกับที่คุณคาดหวังจากพวกเค้าเช่นกัน ดังนั้นพยายามให้แน่ใจว่างานของคุณจะทันเวลา นะครับ แต่เพื่อเป็นการปลอดภัยไว้ก่อน พยายามเผื่อเวลาเอาไว้บ้างในแต่ละงาน สำหรับปัญหา หรือว่า สิ่งเราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการสื่อสาร หรือการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลา สมมติถ้าคุณมีงานที่จะต้อง present ในวันที่ 25 พยายามทำให้เสร็จ หรือว่ากำหนด deadline ให้กับตัวเองในวันที่ 23 เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดที่อาจจะมีปัญหากับการทำงานของคุณ


9- เลี่ยงการติดตามงานที่ไม่จำเป็น ถ้าคุณได้มีการ มอบหมายงานหรือว่าหน้าที่ ไปให้กับคนอื่นๆแล้ว ก็ไว้ใจกับที่ได้รับมอบหมายไปเถอะครับ นอกจากคุณจะได้รับมอบหมายเป็นพิเศษให้ติดตามงานนั้น ทั้งนี้ในทางปฏิบัติแล้ว คนเป็จำนวนมาก เสียเวลาไปกับการฟัง หรือว่าอ่านรายงาน ทั้งๆที่งานนั้นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ถ้าเพื่อนร่วมงานของคุณ ทำงานวิจัยหรือว่าหรือว่างานอะไรก็เถอะครับ ถ้างานนั้นไม่มีผลกระทบต่อการทำงานในทุกๆวันแล้วละก็ คุณควรจะแสดงความสนใจในงานนั้น ด้วยการใช้คำพูดให้กำลังใจ หรืออาจจะพูดคุยวักถามช่วง coffe break หรือว่าช่วงเวลาอาหารกลางวัน แค่นั้นก็น่าจะพอครับ


10- เลือกประชุม พิจารณาถึงการประชุม ทุกทุกเรื่องที่คุณต้องเข้าประชุมอย่างรอบคอบ ในแง่ว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีคุณ แน่นอนครับ ถ้าคิดว่าจำเป็น ก็ให้ลงไว้ใน agenda ของคุณ แล้วเตรียมตัวให้พร้อม แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องมีส่วนร่วม ลองเข้าไปคุยกับนายของคุณเป็นการส่วนตัว ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คุณจะไม่เข้าประชุมนั้นๆ เพื่อหันไปทำงงานอื่น ที่จะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่า


11- คิดใหม่ การที่คุณมีโครงการ หรือว่างานใหม่อยู่ในมือ หรือว่าดูแลอยู่เสมอ อย่างน้อย 1 งานนั้น จะช่วยทำให้ทักษะของคุณก้าวหน้า หรือว่าแหลมคมอยู่เสมอ และถ้าคุณทำได้ อาจจะมากกว่านั้น คือ 2-3 โครงการก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะนั่นจะทำให้ สมองได้ คิดอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง ลำดับความคิด หรือว่า logic ในการคิดต่างๆก็จะเปลี่ยนตามไป ตาม ธรรมชาติของงานแต่ละชิ้น นั้นหมายถึงว่าสมองคุณจะได้ใช้ทักษะมากขึ้น ในแง่มุมที่ต่างกัน และได้ทำงานได้อย่างเต็มที่


12- เลือกงานอย่างระมัดระวัง พยายามที่จะเลือก และทำงาน ที่คุณคิดว่ามีคุณค่าต่อองค์กรที่คุณทำงานอยู่ และต้องเป็นงานที่คุณจะใช้ความสามารถที่คุณมีได้อย่างเต็มที่ บางทีหรือว่าบางครั้งมันก็เป็นการดีเหมือนกันนะครับ ที่คุณจะปฏิเสธ หรือว่าไม่ยอมรับข้อเสนอ ที่คุณจะได้รับงานมอบหมายให้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม จากงานปกติที่คุณทำอยู่แล้ว-- นักธุรกิจ ที่ขึ้นว่าประสบ ความสำเร็จนั้น ทุกคนรู้ว่าบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องพูดคำว่า "ไม่" ก่อนอื่น ให้เริ่มต้นด้วยการถามตัวเองนะครับว่า "งานนี้จะมีส่วนช่วยให้ คุณก้าวหน้าในอาชีพการงานหรือเปล่า " และ "และคุณมีเวลามากพอที่จะทำงานที่ ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จตามกำหนดเวลา หรือไม่"


13- หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะ ผลัดหรือว่าเลื่อนงานที่ตัวเองไม่ชอบออกไปเรื่อยๆ เริ่มต้นการแก้ด้วยการจัดรายการงานที่น่าสนใจ ที่คุณชอบ ให้เป็นรายการต่อไปถัดจากรายการที่แสนจะน่าเบื่อ หรือถ้าคุณเป็นพวกที่เกลียดงานเกี่ยวกับตัวเลข หรือว่างานบัญชี ลองจัดให้งานพวกนี้อยู่เป็นรายการแรกๆของวันที่คุณต้องทำ ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาเช้า เป็นช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานอย่างเหลือเฟือ และมีโอกาสที่จะถูกกวนขณะทำงานน้อย ถ้าคุณยังมีนิสัยที่จะเลือนงานออกไปเรื่อย จนถึงวันที่กำหนดไปแล้ว อยู่เป็นประจำ ถึงเวลาแล้วละครับ ที่คุณควรที่จะใช้เวลามานั่งพิจารณาถึงตัวคุณกับงานที่ทำอยู่ มองถึงเป้าหมายในการทำงาน ความสนใจส่วนตัว เพราะว่าจริงๆแล้ว นิสัยการผลัดวันประกันพรุ่งนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความที่คุณไม่พอใจ กับสิ่งที่คุณทำอยู่


14- ให้รางวัลกับตัวเอง การบริหารเวลานั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับงานเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องไปถึง เวลาทุกอย่างที่คุณใช้ไป ไม่ว่าเวลาที่คุณต้องการพักผ่อน หรือเวลา ที่คุณต้องใช้ไปในการ เติมไฟให้กับตัวคุณเอง ให้รางวัลกับตัวเอง เมื่องานแต่ละชิ้นสิ้นสุดลง อาจจะเป็นรางวัลง่ายๆเช่น การให้ช่วงเวลาที่หยุดพักออกไป coffe break หรือวางแผนที่จะไปพักผ่อนเมื่อ project ใหญ่ของคุณจบลง