วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552





ใครที่เคยบอกว่า ดื่มกาแฟ ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เปลี่ยนความคิดบ้างอะไรบ้างก็น่าจะดี 6 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกาแฟ ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้ แต่รู้ไว้ได้เปรียบมากมาย
1.ใครบอกว่า การดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ความคิดเหล่านี้จะเปลี่ยนไป เพียงคุณดื่ม กาแฟ วันละ 1-2 ถ้วย

2.ไม่เชื่อใช่ป่ะ...ว่า กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาท ี่ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้น ดื่มกาแฟซิ

3.ดื่มกาแฟน้อยๆ แต่ นานๆ หากคุณต้องการดื่มเพราะแก้ง่วง แทนที่จะดื่มมันทีเดียวหมดแก้ว เปลี่ยนใหม่เป็นในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4.ไม่น่าเชื่อว่า ความมหัศจรรย์ของกาแฟ กลายเป็นว่าดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร...เพราะเมล็ดกาแฟ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่ม อื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อ นั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5.เดี๋ยวจะหาว่า มีแต่ข้อดี เพราะฉะนั้นระวังไว้นิดก็ดี...องค์ประกอบหลักของกาแฟ คือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันใ นผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็ จะไม่มีผล

6. สุดท้าย ดีแคฟ...ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้า งแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซ ึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วยก็

อย่าลืมนะว่าถ้าคุณอยากดื่มให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่เหมาะสม และพอดี แล้วคุณจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ


ยกย่องนมช็อกโกแลต เป็นเครื่องดื่มเสริมพลัง


เกร็ดความรู้ ใหม่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการออกมาบอกว่า หลังการออกแรงเสียเหงื่อมามากควรดื่มนมช็อกโกแลต เพราะนมช็อกโกแลตจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว


หลังการออกแรงเสียเหงื่อมามาก ไม่ว่าจะเล่นกีฬาหรือทำงานหนักอะไรก็ตาม ทราบหรือไม่ว่าเราควรจะดื่มเครื่องดื่มชนิดใดเพื่อไปทดแทน


"นมช็อกโกแลต" เป็นคำตอบสุดท้าย อัลเธีย ซาเนโคสกี นักโภชนาการด้านกีฬา จากเพนน์-ซิลวาเนีย ให้คำแนะนำ โดยเธออธิบายว่าบางคนอาจจะดื่มน้ำ บางคนหันไปหาเครื่องดื่มเกลือแร่ไม่ใช่เพื่อแก้กระหายแต่เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่


แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายรายเริ่มจะเชื่อว่าคนเราต้องการอย่างอื่นด้วยหลังจากการออกแรงอย่างหนักๆ มาแล้ว เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวโดยเร็ว คนเราต้องการโปรตีนที่กลับไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นก็คือนมช็อกโกแลตนั่นเอง


เครื่องดื่มที่เป็นของชอบของเด็กๆ ชนิดนี้ยังเป็นแหล่งแคลเซียมอันอุดม และอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการอยู่ทีเดียวหลังจากออกแรงอย่างหนักมาแล้ว


ซาเนโคสกียังบอกว่า การดื่มน้ำก็เป็นทางเลือกที่เยี่ยมมากในการทดแทนการเสียน้ำ แต่หลังจากนั้นแล้วสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ คือการเติมพลัง ดังนั้นนมช็อกโกแลตจึงเป็นคำตอบที่น่าสนใจ


นมช็อกโกแลตแตกต่างจากนมธรรมดาตรงที่มีน้ำตาลเพิ่มเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นทางที่ดีในการทดแทนคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย แต่เนื่องจากการดื่มนมจะทำให้ได้แคลอรี่เพิ่มขึ้น จึงน่าจะดีกว่าหากเราเลือกดื่มนมไขมันต่ำ หรือนมปลอดไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
โรคอินเทรนต์ 5 โรค

อันดับที่ 1: โรคเครียด

จากผลการวิจัยของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2549 คนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคเครียดในระดับสูงมากถึง 8% เครียดระดับปานกลาง 33% และเครียดระดับน้อย 57% หนุ่มสาวในช่วงอายุ 25-35 ปี ซึ่งกำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีสถิติสูงที่สุด ความเครียดส่งผลให้นอนไม่หลับเลยวิตกกังวล จนกระทั่งอาเจียน เครียดลงกระเพาะอาหาร ปัสสาวะบ่อยจนกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นไมเกรนหรือลุกลาม ถึงขั้นเป็นโรคหัวใจ ส่วนผลกระทบทางด้านจิตใจ เช่น เกิดความกังวลตลอดเวลา ลนลานอย่างหนัก กังวลจน สมาธิไม่มี อารมณ์เสีย หงุดหงิด ฯลฯ หากปล่อยทิ้งไว้นานจะพัฒนาไปสู่โรคเครียดเรื้อรังได้

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : ผ่อนคลายความเครียดทางร่างกาย เริ่มง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย จะช่วยให้การทำงานของระบบเลือดหัวใจ และสมองดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดคาร์โบไฮเดรต และแอลกอฮอล์ หรือจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานใหม่ เช่น จัดให้มีมุมนั่งเล่นในสวนสวย มุมทำสมาธิ มุมรับประทานอาหารว่าง มุมดูหนังฟังเพลง บริการนวดคลายเครียดในที่ทำงาน




อันดับที่ 2: โรคระบบทางเดินหายใจ

มลภาวะเป็นพิษ สาเหตุหลักของโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด ไซนัส หวัด ภูมิแพ้ องค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคที่คร่าชีวิตคนทำงานมากที่สุดในปัจจุบันคือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โดยมีอัตราเสี่ยงสูงถึง 10% ของคนทั้งโลก นอกจากนี้รายงานทางการแพทย์ของไทยยังพบว่าคนกรุงเทพฯ มีอัตราผู้ป่วยภูมิแพ้สูงถึง 50% ต้นเหตุ แห่ง มลพิษก็มาจากโรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียจากรถยนต์ที่มีปริมาณ มากขึ้นทุกวัน อาการเบื้องต้นจะเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย โดยไม่ได้มาจากการเจ็บป่วย หายใจไม่สะดวก ป่วยกระเสาะ-กระแสะ เหมือนเป็นไข้หวัดตลอดเวลา คัดจมูก น้ำมูกน้ำตาไหล แต่ไม่มีไข้

* เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : เราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลารถติด พักอาศัยอยู่ในที่อากาศถ่ายเทหรือไปสูดอากาศนอกเมืองบ้าง และออกกำลังกายเป็นประจำ


อันดับที่ 3: ความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อ

การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทำให้ตาพร่ามัวรังสีจากหน้าจอทำให้กล้ามเนื้อตาตึงเครียด อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้นานจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย กล้ามเนื้อเมื่อยล้าเป็นอาการเครียดของกล้ามเนื้อเมื่อใช้งานต่อเนื่องนานๆ เช่น การกดแป้นคีย์บอร์ด ทำให้ข้อกระดูกนิ้วเสื่อม กล้ามเนื้อไหล่ตึง และเจ็บปวด การขยับเมาส์ไปมาทำให้ปวดกระดูกข้อมือ อาจเกิดพังผืดที่โพรงเส้นประสาทข้อมือหรืออุโมงค์ข้อมือ หากทิ้งไว้นานอาจ ปวดเรื้อรังถึงขั้นพิการ

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : อาการเหล่านี้บรรเทาด้วยการพักสายตา หลับตาหรือมองต้นไม้ใบหญ้าจะช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาได้ อาการเกี่ยวกับข้อมือ ควรพักข้อมือ รับประทานยาแก้ปวด ถ้าอาการหนัก อาจต้องสวมอุปกรณ์ประคองข้อมือ หรือฉีดยาเพื่อลดอาการเจ็บปวด อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาได้คือ ปรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับสรีระ เช่น ใช้แผ่นป้องกันแสง เพื่อป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอถนอมสายตา ควรปรับแสงสว่างหน้าจอให้เหมาะกับช่วงแต่ละเวลาด้วย ขณะใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ให้วางท่อนแขนขนานกับพื้น มีแผ่นรองข้อมือเพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวและการเสียดสี ปรับระดับเก้าอี้ให้นั่งสบาย ขาตั้งฉากกับพื้น ซึ่งถือเป็นท่าที่ถูกต้อง


อันดับที่ 4: โรคนอนไม่หลับ

การนอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนหลับๆ ตื่นๆ หรือสะดุ้ง ขึ้นมาและนอนหลับต่อไม่ได้ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อาหาร รูปแบบการใช้ชีวิต การเจ็บป่วย การใช้ยา ความเครียด ความกังวล ฯลฯ คนส่วนใหญ่ มักเป็นอยู่ 2-3 วัน แล้วจะหายไปเอง แต่บางรายที่นอนไม่หลับเป็นระยะเวลานานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ขึ้นไป หากปล่อยไว้นานๆ จะมีอาการเรื้อรัง กระทั่งส่งผลเสียร้ายแรงต่ออารมณ์ ความจำ การตื่นตัว ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา และไม่มีแรง บางครั้งกลายเป็นโรคซึมเศร้าด้วย

*เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น พยายามนอนและตื่นเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม ออกกำลังกาย ผู้ที่วิ่งหรือออกกำลังกายวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าหากเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ หาสาเหตุชัดเจนไม่ได้ และรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่สามารถทำงานได้ หลับบ่อยครั้งในระหว่างวัน ควรไปพบแพทย์



อันดับที่ 5: โรคปลายประสาทอักเสบ

เกิดจากความผิดปกติของประสาทส่วนปลาย เป็นผลจากโรคเครียดและกล้ามเนื้ออักเสบ การได้รับสารพิษ หรือโลหะหนักอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการนั่ง ยืน หรือท่ายกของอย่างไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ จนเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อแต่บริเวณคอ ลงไปที่ไหล่ เรื่อยถึงกระดูกสันหลัง และช่วงเอว ทำให้ทรงตัว ไม่ได้ ร่างกายอ่อนปวกเปียก ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หากปล่อยไว้กล้ามเนื้อจะลีบ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ โรคนี้พบบ่อยในคนทำงานนั่งโต๊ะ รวมทั้งคนที่อาศัยในเขตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีมลพิษหนาแน่น

* เปลี่ยนพฤติกรรม…กำจัดโรคร้าย : ป้องกันได้โดยการนั่ง ยืน เดิน ในท่าที่ถูกต้อง นวดคลายกล้ามเนื้ออยู่สม่ำเสมอ อยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมดี อากาศดี

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552



นักวิจัยร้องเตือนว่า พวกภาชนะที่ทำด้วยพลาสติกอาจจะเป็นพิษภัยแก่สมองจนถึงตายได้ เพราะสารเคมีที่ใช้ ทำให้การทำงานของสมองเกี่ยวกับการเรียนรู้ และความจำเสื่อมโทรมลง เป็นต้นเหตุของโรคสมองเสื่อม หรือภาวะซึมเศร้าอย่างหนึ่ง

นายเนียล แมคลัสกี นักวิจัยมหาวิทยาลัยกูเอลฟ์ ชานนครโตรอนโตได้ เปิดเผยว่า โรงงานทำขวด ภาชนะพลาสติก แม้กระทั่งฟันปลอมทั่วทั้งโลก ต่างใช้สารเคมี ที่มีชื่อว่า “ไบสฟีนอล เอ.” เรื่องที่น่าวิตกก็คือ สารนั้นอาจจะซึมหรือ ละลายปนอยู่ในอาหารแข็งหรือเหลวที่ บรรจุอยู่ได้ และเมื่อกินเข้า มันจะเข้า ไปอยู่ในตัว ก่อกวนการสื่อสารระหว่างหน่วยประสาทของสมอง อันจำเป็นกับการเกิดความเข้าใจและจดจำขึ้นสิ่งที่เขาพบในการศึกษาซึ่งทำกับลิงแอฟริกาก็คือ “แม้แต่สารนี้ในปริมาณเล็กน้อย ก็ยังทำให้การก่อตัวของรอยประสานประสาทในบริเวณของสมองส่วนที่ทำหน้าที่ เกี่ยวกับการเรียนรู้ เสื่อมโทรมลงอย่างร้ายแรง"

ขวดเหล่านี้จะมีความปลอดภัยในการใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้น ก็ต้องไม่นานกว่า 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ ถือว่านานที่สุด และต้องเก็บไว้ให้ห่างจากความร้อนด้วยเช่นกันการล้างขวดน้ำซ้ำๆและล้างโดยการเขย่าขวดนั้น เป็นสาเหตุของการเสื่อมตัวของพลาสติก และเกิดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่จะเข้าไปรวมตัวกับน้ำที่คุณใส่ไว้ในขวดสำหรับดื่มทางที่ดีคุณควรจัดหาขวดสำหรับใส่น้ำ ที่สามารถใช้บรรจุน้ำได้หลายๆครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้อย่างประหยัด แต่อยากให้นึกถึงครอบครัวและตัวของคุณเอง




ผลการศึกษาล่าสุดจาก Harvard School of Public Health (HSPH) ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตหรือขวดพลาสติกแข็งหรือขวดนมเด็กเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จะมีสารบีพีเอ (bisphenol A; BPA) เพิ่มขึ้นในปัสสาวะถึงสองในสามส่วน สารจำพวกนี้ใช้มากในอุตสาหกรรมบิสฟีนอลเอและพลาสติกชนิดอื่น มีผลต่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ สำหรับในคนเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและเบาหวาน เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พบว่าการดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนตทำให้ปัสสาวะมีสารบีพีเอเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอจากขวดบรรจุน้ำดื่มปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดและหากเราดื่มในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้พบสารตัวนี้เพิ่มในปัสสาวะ จะพบสารบีพีเอในขวดโพลีคาร์บอเนตซึ่งเป็นขวดน้ำที่นิยมใช้กันในหมู่เด็กนักเรียน นักท่องเที่ยวและของใครอีกหลายคนแล้วยังพบสารนี้ในขวดนมเด็ก ชิ้นส่วนงานทันตกรรม กาว อลูมิเนียมที่ใช้ใส่อาหาร และเครื่องดื่มกระป๋องอีกด้วย

การศึกษาหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อในสัตว์ ตั้งแต่ขัดขวางการเจริญของระบบสืบพันธุ์ การพัฒนาและการจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อบริเวณต่อมน้ำนม ลดการผลิตสเปิร์มในรุ่นลูกรุ่นหลาน และอาจอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการแรกเริ่ม

คาริน บี มิเชล กล่าวว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก HSPH และ Harvard Medical School กล่าวว่า การดื่มน้ำเย็นจากขวดโพลีคาร์บอเนตแค่เพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถทำให้ระดับบีพีเอในปัสสาวะเพิ่มขึ้นถึงสองในสามส่วนได้ และหากน้ำในขวดร้อนอย่างกรณีของขวดนมเด็กระดับของสารบีพีเอที่พบในปัสสาวะก็จะมากขึ้น จึงต้องระวังอย่างยิ่งเนื่องจากสารบีพีเอจะขัดขวางการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อในทารกได้มากกว่า

การศึกษานี้ใช้อาสาสมัครจำนวนทั้งสิ้น 77 คน โดยให้อาสาสมัครทำการ ‘ล้างท้อง’ ก่อนด้วยการดื่มน้ำเย็นจากขวดสแตนเลสเป็นเวลา 7 วันเพื่อลดระดับสารบีพีเอในร่างกาย ระหว่างนี้ทีมวิจัยก็จะตรวจสารบีพีเอในปัสสาวะไปด้วย จากนั้นจึงให้ขวดโพลีคาร์บอเนตแก่อาสาสมัครคนละสองขวดและให้อาสาสมัครดื่มน้ำทุกชนิดจากขวดที่เตรียมให้ตลอดสัปดาห์และทำการตรวจปัสสาวะไปด้วย

ผลตรวจแสดงให้เห็นว่า สารบีพีเอในปัสสาวะอาสาสมัครเพิ่มขึ้นถึง 69% หลังดื่มน้ำจากขวดโพลีคาร์บอเนต (ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารบีพีเอที่ตรวจพบในกลุ่มเด็กนักเรียนใกล้เคียงกับคนอเมริกาทั่วไป) การศึกษาก่อนหน้านี้รายงานว่า สารบีพีเอ สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ของเหลวในขวดได้ และการศึกษานี้เป็นงานแรกที่แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้มข้นของสารบีพีเอในปัสสาวะคน

ที่น่ากังวลก็คือ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ขวดประเภทนี้ดื่มน้ำเป็นประจำ แถมยังไม่ค่อยยอมล้างขวด และหากเด็กเด็กกรอกน้ำร้อนลงไปก็จะทำให้ได้รับสารบีพีเอเพิ่มมากขึ้น เพราะความร้อนช่วยทำให้สารบีพีเอรั่วไหลออกมามากขึ้น

นับได้ว่าการศึกษานี้เห็นผลพอดีเวลาก็ว่าได้เพราะหลายประเทศกำลังตัดสินใจว่าจะออกมาตรการห้ามใช้บีพีเอในขวดนมเด็กดีหรือไม่ แถมยังช่วยเติมเต็มข้อมูลผลเสียของสารตัวนี้ต่อสุขภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้น หากไม่จำเป็นจริง ๆ ลองลดการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกดูนะ ไม่แน่ว่าสารบีพีเอส่วนใหญ่ในตัวเราอาจมาจากขวดน้ำพลาสติกเหล่านี้ก็ได้ใช่ไหม